ออปชัน Out of The Money (OTM), At The Money (ATM) และ In The Money (ITM)

หนึ่งในคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับออปชันคือคำว่า “Moneyness” มีอยู่ 3 รูปแบบในการอธิบาย Moneyness:
ออปชัน Out of The Money (OTM) คือออปชันของสินทรัพย์ที่ยังไม่ถึงราคาที่ใช้สิทธิ์ ออปชันเหล่านี้ไม่มีมูลค่าที่แท้จริง (intrinsic value) และประกอบด้วยมูลค่าภายนอก (extrinsic value) เท่านั้น ออปชันประเภทนี้ยังไม่มีกำไร จึงมีความเสี่ยงมากกว่า และราคาถูกกว่าออปชันประเภท ATM และ ITM ที่มีวันหมดอายุเดียวกัน ยิ่งเหลือเวลามากก่อนหมดอายุ ราคาของออปชันก็จะยิ่งแพงขึ้น เพราะเวลามากขึ้น หมายถึงมีโอกาสมากขึ้นที่ราคาหุ้นจะไปถึงราคาที่ใช้สิทธิ์ หากออปชันหมดอายุไปโดยยังอยู่ในสถานะ OTM สัญญานั้นจะไม่มีมูลค่า และผู้ซื้อจะขาดทุนเท่ากับเบี้ยประกัน (premium) ที่จ่ายไป
ออปชัน At The Money (ATM) คือออปชันที่ ราคาที่ใช้สิทธิ์เท่ากับราคาตลาดปัจจุบัน ออปชันแบบนี้เกือบจะมีมูลค่าที่แท้จริง และใกล้จะมีกำไร ถ้าราคาหุ้นเคลื่อนไปในทิศทางที่ต้องการ ราคาหุ้นจะต้องขยับมากพอเพื่อให้คุ้มกับเบี้ยประกันที่คุณจ่ายไป
ออปชัน In The Money (ITM) คือออปชันที่ ราคาของสินทรัพย์ได้ผ่านราคาที่ใช้สิทธิ์ไปแล้ว ออปชันแบบนี้มีทั้งมูลค่าที่แท้จริงและมูลค่าภายนอก จึงมีราคาสูงกว่า ออปชัน ITM จะมีกำไรเมื่อหมดอายุ หากส่วนที่อยู่ในเงินมีค่ามากกว่าที่คุณจ่ายเป็นเบี้ยประกัน
ตัวอย่างของออปชัน Out of The Money
เจนเป็นเจ้าของหุ้นของบริษัท X ราคาหุ้นตอนนี้อยู่ที่ $50 แต่คุณคิดว่าราคาจะขึ้นไปเกิน $55 ภายในสิ้นสัปดาห์ แต่เจนไม่คิดว่าราคาจะไปถึงจุดนั้นได้ภายในเวลานั้น คุณจึงขอสิทธิ์จากเธอในการซื้อหุ้นของเธอในราคา $55 เมื่อถึงสิ้นสัปดาห์ ไม่ว่าราคาตลาดตอนนั้นจะเป็นเท่าไร เจนยินดีให้สิทธิ์นั้นกับคุณ แต่ไม่ใช่ฟรี ๆ เพราะเธอต้องรับความเสี่ยง เธอจึงขายออปชันให้คุณในราคา $1 ต่อหุ้น รวมทั้งหมดเป็น $100 ออปชันแบบ Call นี้ถือว่าเป็นแบบ Out of The Money เพราะราคาหุ้นในตอนนี้ต่ำกว่าราคาที่ใช้สิทธิ์ที่ $55
ตอนนี้มี 3 ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้
คุณได้กำไร สมมุติว่าตอนหมดอายุ ราคาหุ้นอยู่ที่ $60 ออปชัน Out of The Money ของคุณ ตอนนี้กลายเป็น In The Money และคุณมีสิทธิ์ซื้อหุ้นจากเจนในราคา $55 ซึ่งถือเป็นส่วนลด $5 จากราคาตลาด $60 เจ๋งไปเลย! คุณจ่ายไป $1 ต่อหุ้น ดังนั้นคุณมีกำไร $4 ต่อหุ้น เพราะออปชันครอบคลุม 100 หุ้น กำไรรวมคือ $500 - $100 = $400 ถ้าคุณใช้เงิน $100 นั้นไปซื้อหุ้นจริง 2 หุ้น กำไรของคุณจะอยู่ที่แค่ $20 เท่านั้น
คุณคุ้มทุน (ไม่กำไร ไม่ขาดทุน) ถ้าราคาหุ้นอยู่ที่ $56 ตอนหมดอายุ นั่นคือคุณได้กำไร $1 ต่อหุ้น หรือรวมทั้งหมดเป็น $100 แต่คุณก็จ่ายเงินสำหรับออปชันไปแล้ว $100 ดังนั้นคุณจึงทําเงินได้ $0 ดังนั้นคุณไม่ได้กำไรหรือขาดทุนเช่นกัน
คุณขาดทุน ถ้าราคาหุ้นตอนหมดอายุยังอยู่ต่ำกว่า $55 ออปชันของคุณจะหมดอายุในสถานะ OTM และไม่มีมูลค่า มันไม่มีเหตุผลที่จะใช้สิทธิ์ในการซื้อหุ้นในราคา $55 เมื่อราคาหุ้นในตลาดต่ำกว่านั้น ผลก็คือคุณเสียเงินค่าเบี้ยประกันทั้งหมด $100 แต่ถ้าราคาขยับขึ้นเล็กน้อย เช่น ไปอยู่ที่ $55.5 คุณก็ได้กำไร $50 เนื่องจากคุณจ่ายเงิน $100 สำหรับออปชันนี้ นั่นแปลว่าเกิดการขาดทุน $50: $50 - $100 = -$50 ในกรณีนี้คุณขาดทุนบางส่วน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
ตัวอย่างข้างต้นเป็นออปชัน Call ที่มีราคาใช้สิทธิ์สูงกว่าราคาตลาดปัจจุบัน หากเป็นออปชัน Put คุณจะต้องการให้ราคาหุ้นลดลงต่ำกว่าราคาที่ใช้สิทธิ์ภายในวันหมดอายุ ออปชัน Put ถือว่าอยู่ในสถานะ Out of The Money ตราบใดที่ราคาหุ้นยังสูงกว่าราคาที่ใช้สิทธิ์
มูลค่าภายนอก

ถ้าออปชันอยู่ในสถานะ ITM อยู่ที่ $10 ก็แสดงว่ามีมูลค่าที่แท้จริงอยู่ $10 ในทางตรงกันข้าม ออปชัน OTM จะมีเฉพาะมูลค่าภายนอกเท่านั้น เพราะราคาสินทรัพย์ยังต่ำกว่าราคาที่ใช้สิทธิ์ ราคาของมูลค่าภายนอกจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่หลัก ๆ คือ ความผันผวนโดยนัย (implied volatility) และ ระยะเวลาก่อนหมดอายุ
หุ้นที่มีแนวโน้มผันผวนมาก จะมีการเคลื่อนไหวของราคาที่แรงกว่า ซึ่งหมายถึงมีโอกาสในการทำกำไรมากขึ้น ดังนั้น ออปชันจะมีราคาสูงขึ้นเมื่อหุ้นหรือทั้งตลาดอยู่ในช่วงที่มีความผันผวนสูง มูลค่าภายนอกของออปชันก็อาจมีราคาสูงขึ้นในช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์สำคัญ เช่น การประกาศผลประกอบการ หรือการเปิดเผยข้อมูลตัวบ่งชี้ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เพราะเหตุการณ์เหล่านี้มักก่อให้เกิดความผันผวนในตลาด
ระยะเวลาก่อนหมดอายุก็มีผลต่อราคาเช่นกัน ออปชันจะมีมูลค่าสูงกว่าหากยังเหลือเวลามากก่อนหมดอายุ เพราะเวลาที่มากขึ้น หมายถึงมีโอกาสมากขึ้นที่ออปชันจะกลายเป็น ITM
ข้อดีของออปชัน OTM
แล้วทำไมคุณถึงควรจ่ายเงินซื้อออปชัน แทนที่จะซื้อหรือขายหุ้นโดยตรง? ถ้าคุณซื้อหุ้น 1 หุ้นในราคา $50 แล้วขายเมื่อราคาขึ้น 10% ไปที่ $55 คุณจะได้กำไร $5 จำนวนเงินนั้นดีกว่าตอนที่คุณเริ่มต้น แต่ก็จะไม่ส่งผลกระทบมากนักในชีวิตของคุณ คุณจะต้องซื้อหุ้นจำนวนมากขึ้นอีกมากจึงจะมีผลกระทบอย่างแท้จริงต่อการเงินของคุณ เช่น ลงทุน $500 ดอลลาร์เพื่อให้ได้กำไร $50 หรือ $5,000 เพื่อให้ได้กำไร $500 ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีเงินสดสำรอง $5,000 อยู่ในมือ การใช้ออปชัน OTM เป็นวิธีที่ถูกกว่าที่จะเลเวอเรจและเพิ่มกำไรของคุณโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของหุ้นจริง ๆ