FBS ก้าวเข้าสู่ปีที่ 16

ปลดล็อกของรางวัลวันเกิด: ตั้งแต่แก็ดเจ็ตและรถในฝันไปจนถึงทริป VIPเรียนรู้เพิ่มเติม

19 มิ.ย. 2025

พื้นฐาน

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจคืออะไร? ประเภทและตัวอย่างที่สำคัญ

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจคืออะไร? ประเภทและตัวอย่างที่สำคัญ

ในฐานะเทรดเดอร์ คุณต้องการรับข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้สามารถหาโอกาสที่ดีและวางคำสั่งซื้อขายที่ประสบความสำเร็จ ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจสามารถช่วยให้คุณเข้าใจบริบทที่คุณกำลังเทรดอยู่ได้ดีขึ้น คุณอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อัตราการว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวชี้วัด เพราะพวกมันบ่งบอกถึงแง่มุมต่าง ๆ ของสภาพเศรษฐกิจ นอกจากนี้ มันยังให้คำบอกใบ้เกี่ยวกับทิศทางที่เศรษฐกิจนั้นอาจกำลังมุ่งไป

นักวิเคราะห์นโยบายใช้ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจเพื่อตัดสินใจซึ่งส่งผลต่อตลาดหุ้น การตระหนักรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้สามารถช่วยให้คุณวางตำแหน่งตัวเองได้ดีขึ้น

การทำความเข้าใจตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจคือชิ้นส่วนของข้อมูลเศรษฐศาสตร์มหภาคเฉพาะด้าน (เช่น อัตราการว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ และอัตราการใช้จ่ายของผู้บริโภค) ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วจะช่วยสร้างภาพรวมของสถานะเศรษฐกิจโดยรวมและแนวโน้มของทิศทางในอนาคต

ผู้กำหนดนโยบายและนักวิเคราะห์ต่างจับตามองตัวชี้วัดเหล่านี้อย่างใกล้ชิด และใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจด้านการเงินและการเมืองอย่างมีข้อมูล เช่น การกำหนดภาษีศุลกากรหรือการปรับลดอัตราดอกเบี้ย การตัดสินใจเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น นักลงทุนสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลดังกล่าวเพื่อประเมินโอกาสการลงทุนในปัจจุบันและอนาคต ในการเทรดฟอเร็กซ์ หุ้น และดัชนีต่าง ๆ

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจมักจะออกมาในรูปแบบของรายงานอย่างเป็นทางการที่เผยแพร่เป็นประจำตามกำหนดการ โดยรัฐบาล องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และมหาวิทยาลัย ในสหรัฐอเมริกา เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ต่างรอติดตามรายงานจากสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯที่เป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อ สำนักสำรวจสำมะโนประชากรสหรัฐฯ ที่รายงานข้อมูลด้านยอดขายและที่อยู่อาศัย ธนาคากลางสหรัฐฯ ที่เป็นผู้กำหนดอัตราดอกเบี้ย และ The Conference Board ที่เป็นผู้วิจัยและจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค

ประเภทของตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ตามช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรเศรษฐกิจ

image_01.jpg

ตัวชี้วัดนำจะทำนายการเปลี่ยนแปลงและแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต ตัวชี้วัดเหล่านี้รวมถึงเส้นอัตราผลตอบแทน ราคาหุ้น และจำนวนธุรกิจที่ก่อตั้งใหม่ พวกมันถูกเรียกว่า "ตัวชี้วัดนำ" เพราะตัวเลขเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงก่อนที่เศรษฐกิจจะเปลี่ยนแปลง ซึ่งทำให้มีประโยชน์ในการทำนายแนวโน้มเศรษฐกิจ

ตัวชี้วัดตามสถานการณ์เป็นเหมือนภาพถ่ายสุขภาพทางเศรษฐกิจแบบเรียลไทม์ โดยจะเน้นไปที่พื้นที่หรือภูมิภาคที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งรวมถึง ตัวเลข GDP และระดับการจ้างงาน ตัวชี้วัดประเภทนี้เป็นที่ติดตามอย่างใกล้ชิดที่สุดโดยผู้กำหนดนโยบาย เพราะมันสะท้อนสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงในเศรษฐกิจในปัจจุบัน

ตัวชี้วัดตาม ตามชื่อของมัน มันจะให้ข้อมูลหลังจากที่เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจได้เกิดขึ้นไปแล้ว ตัวอย่างเช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และอัตราการว่างงาน แม้ว่าตัวชี้วัดเหล่านี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจ แต่ก็มักไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อการพัฒนากลยุทธ์หรือหาโอกาสในการเทรด เพราะตัวเลขอาจล้าสมัยไปแล้วเมื่อมีการเผยแพร่

ลักษณะของตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอาจเป็นแบบตามวัฏจักร (procyclical) แบบต้านวัฏจักร (countercyclical) และแบบอิสระจากวัฏจักร (acyclical) คำเหล่านี้ดูซับซ้อน แต่จริง ๆ แล้วมันตรงไปตรงมา

ตัวชี้วัดแบบตามวัฎจักร (Procyclical indicators) จะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันกับเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น GDP ของประเทศจะเปลี่ยนแปลงตามประสิทธิภาพของเศรษฐกิจ โดยจะเพิ่มขึ้นเมื่อเศรษฐกิจเติบโต และลดลงเมื่อเศรษฐกิจอยู่ในช่วงถดถอย

ตัวชี้วัดแบบต้านวัฎจักร (Countercyclical indicators) จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น อัตราการว่างงานมักจะลดลงในตอนที่เศรษฐกิจกำลังดีขึ้น

ตัวชี้วัดแบบอิสระจากวัฏจักร (Acyclical indicators) จะไม่มีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น การใช้พลังงานและภัยธรรมชาติจะไม่ขึ้นอยู่กับวัฏจักรธุรกิจ อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศอาจส่งผลต่อตลาดและเศรษฐกิจในระยะยาวผ่านการผลิตพืชผล

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญมีอะไรบ้าง?

ตัวชี้วัดเศรษฐกิจจะให้ข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับด้านต่าง ๆ ของเศรษฐกิจ นักลงทุนสามารถเลือกติดตามตัวชี้วัดเฉพาะทางตามกลยุทธ์การลงทุนของตน ต่อไปนี้คือตัวอย่างบางส่วนของตัวชี้วัดเศรษฐกิจ:

1. ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เป็นตัวชี้วัดตามที่สะท้อนถึงผลผลิตและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในช่วงเวลาหนึ่ง ถือเป็นตัวชี้วัดที่ดีที่สุดสำหรับการประเมินขนาดและสุขภาพของเศรษฐกิจ

2. อัตราดอกเบี้ย คือเปอร์เซ็นต์ที่จ่ายให้กับเจ้าของบัญชีออมทรัพย์ หรือเรียกเก็บจากผู้กู้เงิน โดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศจะเป็นผู้กำหนดอัตราดอกเบี้ยนี้ ธนาคารกลางจะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ และลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่หากอัตราดอกเบี้ยสูงเกินไปเป็นเวลานานเกินไป นั่นอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเป็นการหดตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยาวนานหลายเดือน

3. ความแข็งแกร่งของสกุลเงินเป็นตัวชี้วัดตามที่ได้รับความนิยม ซึ่งช่วยให้คุณเข้าใจความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจประเทศหนึ่ง ๆ ผ่านการเปรียบเทียบสกุลเงินของประเทศนั้นกับสกุลเงินอื่น ๆ หากสกุลเงินของประเทศแข็งแกร่ง มันจะดึงดูดการลงทุนที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น นอกจากนี้มันยังมีอำนาจซื้อมากขึ้น ทำให้สามารถนำเข้าสินค้าในราคาที่ถูกกว่าและขายสินค้าไปต่างประเทศในราคาที่สูงขึ้นได้ แต่หากสกุลเงินอ่อนค่า นั่นอาจทำให้ค่าใช้จ่ายสำหรับนักท่องเที่ยวถูกลงและดึงดูดการท่องเที่ยวได้มากขึ้น

4. ตลาดหุ้นเป็นสถานที่ที่ซื้อขายหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ตลาดหุ้นมีความเสี่ยงสูงและมักมีการเก็งกำไร โดยอาจไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นเสมอไป เนื่องจากบางหุ้นอาจถูกซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป และอาจเกิดฟองสบู่ได้ โดยทั่วไปราคาหุ้นมักจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีการเผยรายงานถึงผลประกอบการที่ดี ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าบริษัทต่าง ๆ มีผลประกอบการที่ดีและเศรษฐกิจกำลังเติบโต

5. ข้อมูลอัตราการว่างงานและค่าจ้างเป็นตัวชี้วัดตามที่เน้นไปที่จำนวนงานที่หายไปและจำนวนงานที่ได้ถูกสร้างขึ้นในเดือนที่ผ่านมา รวมถึงค่าจ้างที่แรงงานได้รับ อัตราการว่างงานต่ำและค่าจ้างสูงเป็นสัญญาณของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ข้อมูลนี้อาจล้าสมัยไปแล้วในช่วงที่มีการเผยแพร่ออกมา

6. ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดตาม และเป็นหนึ่งในดัชนีที่ถูกจับตามองมากที่สุดเพื่อวัดอัตราเงินเฟ้อ โดย CPI จะวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการในแต่ละเดือนและรวมถึงค่าครองชีพหลังจากที่เกิดขึ้นแล้ว เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงเกินไป มันอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของเศรษฐกิจ เนื่องจากประชาชนต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าในปริมาณเท่าเดิม ส่งผลให้เงินออมของผู้คนลดลงและอำนาจซื้อก็ลดลง

7. ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เป็นตัวชี้วัดนำและสำคัญของภาวะเงินเฟ้อ เพราะมันแสดงการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนการผลิตสินค้า (เช่น เหมืองแร่ การผลิต การเกษตร ป่าไม้ และการประมง) ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงราคาจะปรากฏในร้านค้า นอกจากนี้ มันยังเป็นรายงานแรกที่ออกในแต่ละเดือน ดังนั้นมันจะช่วยให้คุณได้ลิ้มรสสิ่งที่กำลังจะมาถึง ในขณะที่ CPI นั้นวัดราคาสำหรับผู้บริโภค PPI ก็จะวัดราคาสำหรับภาคอุตสาหกรรม

8. ตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นตัวชี้วัดนำเพราะมันบอกเราถึงจำนวนใบสมัครโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ที่ยื่นก่อนที่จะเริ่มก่อสร้างจริง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในอีกอย่างน้อยหกเดือนข้างหน้า ตัวเลขการเริ่มก่อสร้างที่อยู่อาศัยจะแสดงจำนวนโครงการที่เริ่มก่อสร้างอย่างเป็นทางการแล้ว สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความต้องการบ้านใหม่และการเปลี่ยนแปลงของราคาอสังหาริมทรัพย์ ตลาดที่อยู่อาศัยที่อ่อนแออาจส่งผลกระทบต่อภาคส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจผ่านการสูญเสียงานในภาคการก่อสร้าง การลดลงของความมั่งคั่งของเจ้าของบ้าน ความเสี่ยงที่เจ้าของบ้านจะผิดนัดชำระหนี้

ประโยชน์ของการใช้ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในการเทรด

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจสามารถใช้งานได้ในหลากหลายวัตถุประสงค์ขึ้นอยู่กับผู้ที่นำไปใช้

image_02.jpg

รัฐบาลและธนาคารกลางจะใช้ตัวชี้วัดเหล่านี้เพื่อกำหนดนโยบายการเมืองและการคลัง เช่น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจและควบคุมอัตราเงินเฟ้อ บางครั้งพวกเขาอาจมีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับแนวทางที่ควรดำเนินการ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เรียกร้องให้เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลาง ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม พาวเวลล์ได้ชี้แจงว่า ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจต่าง ๆ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อได้แสดงให้เห็นถึงเศรษฐกิจกำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง และเขาก็ไม่รีบร้อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไปอาจกระทบต่อเป้าหมายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการคงอัตราเงินเฟ้อไว้ที่ 2% นอกจากนี้ เขายังระบุว่าการขึ้นภาษีนำเข้าล่าสุดของประธานาธิบดีอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อยากที่จะควบคุมได้ แต่นั่นก็ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบที่ตามมา

นโยบายเหล่านี้ส่งผลให้การกู้ยืมเงินและการลงทุนทำได้ง่ายหรือยากขึ้น ซึ่งกระทบต่อฐานะการเงินของบริษัทต่าง ๆ จากนั้นธุรกิจจะปรับเปลี่ยนการใช้งบประมาณและคาดการณ์ต้นทุนการกู้ยืมรวมถึงความต้องการของผู้บริโภค ส่วนผู้บริโภคจะตัดสินใจว่าจะสามารถซื้อบ้านใหม่ ไปร้านอาหาร หรือซื้อกางเกงยีนส์ตัวใหม่ได้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ นั่นหมายความว่าคุณในฐานะนักลงทุนสามารถใช้รายงานเหล่านี้เพื่อคาดการณ์นโยบายที่จะส่งผลต่อตลาดครั้งต่อไปได้

ตัวชี้วัดนำจะช่วยให้เทรดเดอร์คาดการณ์แนวโน้มในอนาคตได้ และเนื่องจากข้อมูลตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจใหม่จะออกมาทุกเดือน พวกมันจึงสร้างโอกาสในการเทรดให้อย่างสม่ำเสมอ สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนการเปิดสถานะหรือปรับโครงสร้างพอร์ตการลงทุนตลอดทั้งปี

ก่อนที่ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจจะถูกเผยแพร่ นักวิเคราะห์มักจะให้การคาดการณ์ตัวเลขที่คาดว่าจะออกมา หากข้อมูลจริงแตกต่างจากค่าคาดการณ์ของพวกเขา ตลาดอาจเกิดความผันผวนได้ เนื่องจากนักลงทุนจะปรับสถานะการลงทุนของตนตามข้อมูลที่ออกมา

ข้อจำกัดของการใช้ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในการเทรด

การเทรดโดยอาศัยตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวมีข้อจำกัดหลายประการ ข้อมูลตัวชี้วัดอาจไม่ถูกต้อง 100% และในบางกรณีอาจถูกปรับแก้ในภายหลัง ซึ่งจะทำให้การประเมินครั้งแรกของคุณไม่ถูกต้อง ตัวเลขเหล่านี้บางส่วนเป็นข้อมูลที่ช้าที่ไม่สะท้อนสภาพเศรษฐกิจในเวลาจริง นอกจากนี้ ตัวชี้วัดนำก็ไม่สามารถทำนายอนาคตได้ถูกต้องเสมอไป

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจเดี่ยว ๆ มักไม่สามารถจับภาพความซับซ้อนของสภาพตลาดโดยรวมได้ เช่นเดียวกับรายงานผลประกอบการของบริษัท แม้คุณจะคาดการณ์ตัวชี้วัดบางตัวได้ถูกต้อง แต่นั่นก็ไม่รับประกันว่าตลาดจะเคลื่อนไหวตามทิศทางที่สมเหตุสมผลเสมอไป

ดังที่จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ ได้กล่าวไว้ว่า "ตลาดสามารถอยู่ในสภาวะไร้เหตุผลได้นานเกินกว่าที่คุณจะสามารถรักษาสภาพคล่องไว้ได้"

รายงานทางเศรษฐกิจอาจออกมาในเชิงบวก แต่ก็ยังสามารถนำไปสู่ตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงได้ เนื่องจากมีปัจจัยและตัวชี้วัดอื่น ๆ อีกมากที่เข้ามามีบทบาทและส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน ตัวเลขเหล่านี้ยังขึ้นอยู่กับการตีความ - สิ่งที่บางคนมองว่าเป็นเชิงบวก อาจถูกมองว่าไม่ดีพอโดยคนอื่น ๆ นี่คือเหตุผลที่นักเศรษฐศาสตร์และผู้กำหนดนโยบายถกเถียงกันเรื่องความเหมาะสมและขนาดของการปรับลดอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ เหตุการณ์นอกเหนือจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่น ภัยธรรมชาติ การระบาดของโรค และสงคราม ก็อาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นได้เช่นกัน

สรุป

ตัวชี้วัดเศรษฐกิจเปรียบเสมือนชีพจรของเศรษฐกิจ มันให้ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพในปัจจุบันและทิศทางในอนาคต ผู้กำหนดนโยบายจะใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการตัดสินใจทางการเมืองและการคลังซึ่งสามารถส่งผลต่อตลาดหุ้นได้ เนื่องจากรายงานเหล่านี้จะถูกเผยแพร่เป็นประจำ เทรดเดอร์จึงมีโอกาสอย่างสม่ำเสมอที่จะศึกษาการคาดการณ์ คาดเดาตัวเลข และตอบสนองต่อข้อมูลนั้น คุณสามารถเลือกโฟกัสที่ตัวชี้วัดบางตัวที่สอดคล้องกับกลยุทธ์การเทรด หรือพยายามคาดการณ์และรับมือกับปฏิกิริยาของตลาดหลังการเผยแพร่รายงาน นอกจากนี้คุณยังสามารถรวมข้อมูลจากตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจกับข้อมูลย้อนหลังและเครื่องมือต่าง ๆ เช่น การวิเคราะห์ทางเทคนิคได้ แต่อย่าลืมมองภาพรวมด้วย การติดตามเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจและการเมืองเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเทรดอย่างชาญฉลาด คุณไม่มีทางได้รับข้อมูลมากเกินไปได้หรอกนะ

ตัดสินใจอย่างมีข้อมูลด้วยการติดตามปฏิทินเศรษฐกิจของเรา!

แบ่งปันกับเพื่อน ๆ:

เปิดบัญชี FBS

โดยการลงทะเบียน คุณได้ยอมรับเงื่อนไขของ ข้อตกลงลูกค้า FBS และ นโยบายความเป็นส่วนตัว FBS และยอมรับความเสี่ยงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการซื้อขายในตลาดการเงินระดับโลก