เรื่องราวของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จและร่ำรวยที่ คุณเคยเจอไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนมันก็มักจะเริ่มด้วยเรื่องหุ้น ยังจำ “Forrest Gump” ได้มั้ย? ที่พระเอกพบว่าเขาได้เป็น เจ้าของส่วนหนึ่งของ“บริษัทผลไม้” ถ้าเกิดคุณ Grump เป็นคนที่มีอยู่จริงๆและยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้แล้วล่ะก็ เขาจะมี เงินราว ๆ $28 พันล้าน — ขอบคุณหุ้นของ Apple ที่เขาเป็นเจ้าของ
ตลาดหุ้นคืออะไร
ตาดหุ้น — หรือที่เรียกว่าตลาดหลักทรัพย์ — เป็นตลาดการเงินที่ผู้ซื้อ และผู้ขายดำเนินการต่างๆกับหุ้นของบริษัทมหาชนการลงทุนของตลาดหุ้นจะอยู่รูปแบบของหุ้นซึ่งแตกต่างจาก ตลาดสกุลเงิน
ในการลงทุนในตลาดหุ้น คุณจะต้องซื้อหุ้น ซึ่งหุ้นที่ คุณถือก็คือมูลค่ารวมในการร่วมเป็นเจ้าของบริษัท ของคุณ พูดง่ายๆว่าคุณสามารถเป็น "เจ้าของ" ส่วนเล็กๆหรือในส่วนใหญ่ๆของ Facebook ได้แล ะสร้างรายได้จากการขึ้นหรือลงของหุ้น — ทั้งหมดนี้ขึ้น อยู่กับจำนวนเงินที่คุณพร้อมจะลงทุนในบริษัท
ตลาดหุ้นทำงานอย่างไร
แนวคิดโดยรวมนั้นค่อนข้างเรียบง่าย คุณซื้อหุ้นจำนวนหนึ่ง แล้วคุณจะกลายเป็นผู้ถือหุ้น นั่นหมายถึง คุณลงทุนเงินของคุณไปยังบริษัท, อาคาร, หรือธนาคาร
กำไรของคุณคือเงินปันผล — เป็นเงินที่บริษัท จะจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนของจำนวนหุ้นที่คุณซื้อ เมื่อบริษัท เติบโตหรือหดตัวลง ราคาหุ้นของคุณก็จะเป็นไปตามรูปแบบเดียวกัน
หากคุณต้องการทราบข้อมูลเรื่องหุ้นและการซื้อขายหุ้น เพิ่มเติม เชิญอ่านบทความเรื่องการซื้อขายหุ้นออนไลน์ ของเรา
วิธีการซื้อขายในตลาดหุ้น
เมื่อพูดถึงตลาดหุ้น มันก็ไม่เหมือนกับการซื้อขายสกุลเงิน หุ้นนั้นจะเป็นการลงทุนระยะยาวและต้องใช้เวลานานกว่าจะ ได้เห็นผลกำไรที่ชัดเจน
โยปรกเกอร์ ทำหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างนักลงทุนและตลาด โดยทั่วไปหลักการสร้างราคาเหมือนกันทุกที่: อุปสงค์และอุปทาน ผู้ซื้อในตลาดกำลังเสนอราคาซื้อที่ราคาสูงสุดที่พวกเขายินดีจ่าย ราคาเสนอซื้อนี้จะถูกตั้งไว้ตรงข้ามกับราคาเสนอขายของผู้ขายและ มักจะต่ำกว่ามาก ความแตกต่างระหว่างการราคเสนอขาย และราคาเสนอซื้อนั้นเรียกว่าสเปรด
ราคาของหุ้นจะขึ้นๆลงๆอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น การประกาศ ข้อมูลต่างๆของบริษัท, สภาพแวดล้อมทางการเมืองในท้องถิ่น, ความเห็นของผู้นำ เป็นต้นตัวอย่างเช่น เมื่อ Netflix สูญเสีย สมาชิกไปเป็นจำนวนมาก ราคาหุ้นของมันก็ร่วงลงเล็กน้อย
การกระจายความเสี่ยงเป็นกุญแจสำคัญ
เมื่อคุณเข้าร่วมในตลาดหุ้น อย่าลืมกระจายความเสี่ยง ของพอร์ทของคุณ แม้ว่าหุ้นที่พื้นฐานดีๆจะให่กำไรได้ ชัดเจนก็ตาม แต่ก็จำเป็นต้องลงทุนจำนวนมากและเพิ่ม ความเสี่ยงให้มากขึ้น ดังนั้นคุณไม่ควรใส่ไข่ทั้งหมดไว้ ในตะกร้าใบเดียว
คุณสามารถลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งโดยเฉพาะ หรือเลือก ซื้อเป้น "แพ็คเกจ" หรือดัชนี เช่น S&P 500 ซึ่ง S&P 500 นั้นเป็นดัชนีที่รวมผลการดำเนินงานของ บริษัทยักษ์ใหญ่ 500 บริษัทที่มีรายชื่ออยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา
สรุป
การซื้อขายหุ้นและ CFD นั้นมีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง ทั้งคู่จะผูกติดอยู่กับอะไรซักอย่างซึ่งหุ้นก็คือบริษัท ส่วน CFD ก็คือสินค้าโภคภัณฑ์ เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แตกต่างไปจาก CFD คือหุ้นต้องใช้เงินลงทุนเริ่มต้น จำนวนมากกว่ามากเเพราะมันเป็นการลงเงินของคุณเข้า ไปในบริษัทจริงๆ
หุ้นเป็นการลงทุนระยะยาวฉะนั้นอย่าคาดหวังว่ามันจะทำกำไร ให้คุณได้ทันที แม้ว่าทุกสิ่งจะดิ่งลงไปในทิศทางเดียวกัน จำไว้ว่าสถานการณ์สามารถพลิกกลับได้ในอนาคต ดังนั้นจง จับตามองข่าวของบริษัทต่างๆให้ดี