FBS ก้าวเข้าสู่ปีที่ 16

ปลดล็อกของรางวัลวันเกิด: ตั้งแต่แก็ดเจ็ตและรถในฝันไปจนถึงทริป VIPเรียนรู้เพิ่มเติม

07 ก.ค. 2025

พื้นฐาน

วิธี Wyckoff: ทำความเข้าใจกลยุทธ์ Wyckoff ในการเทรด

การใช้กลยุทธ์ Wyckoff ในการเทรดยุคปัจจุบัน

การวิเคราะห์ทางเทคนิคเปิดโอกาสมากมายให้กับเทรดเดอร์ แต่บางกลยุทธ์ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกที่สุดกลับถูกคิดค้นขึ้นมานานหลายทศวรรษก่อนยุคคอมพิวเตอร์จะเริ่มต้นเสียอีก และหนึ่งในวิธีการสุดคลาสสิกเหล่านั้นก็คือ Wyckoff

ทฤษฎี Wyckoff ซึ่งตั้งชื่อตาม Richard D. Wyckoff เทรดเดอร์ชื่อดังจากต้นศตวรรษที่ 20 สันนิษฐานว่ากราฟทุกประเภทสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างอุปสงค์และอุปทาน และยืนยันว่าเพียงแค่ราคาและปริมาณการซื้อขาย (Price & Volume) ก็เพียงพอที่จะทำนายทั้งความต่อเนื่องและการกลับตัวของของแนวโน้ม

หากคุณมีประสบการณ์การเทรดมาบ้างและเข้าใจพื้นฐานการอ่านกราฟ คุณอาจพบว่าวิธีการวิเคราะห์วัฏจักรตลาดของWyckoff ที่มีค่าอย่างยิ่ง

อ่านบทความนี้เพื่อเรียนรู้ว่าวิธีการนี้ทำงานอย่างไรบนแพลตฟอร์มเทรดสมัยใหม่ และเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการเทรดยอดนิยมอื่น ๆ แล้ว วิธีนี้อยู่ในระดับไหน

Richard D. Wyckoff คือใคร?

Richard D. Wyckoff คือใคร?

ริชาร์ดเกิดในปี 1873 ตอนอายุ 15 เขาเริ่มทำงานเป็นพนักงานส่งสารสำหรับระบบกระดานราคาหุ้น และก่อนจะอายุ 30 ปี เขาก็มีบริษัทนายหน้าของตัวเอง รวมถึงเป็นบรรณาธิการนิตยสาร The Magazine of Wall Street ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 200,000 คน

เขาได้ศึกษาตัวบุคคลระดับตำนานในวอลล์สตรีต เช่น Jesse Livermore และ J. P. Morgan แล้วนำวิธีการอ่านเทป (tape-reading) ของพวกเขามาพัฒนาให้เป็นระบบ ผลที่ได้คือหลักสูตรการเทรดแบบเป็นขั้นเป็นตอนที่นักลงทุนรายย่อยสามารถเรียนรู้และนำไปใช้ได้จริง

ในปี 1931 เขาได้ก่อตั้ง Stock Market Institute และสอนคอร์สการเทรดที่ยังคงมีผู้เรียนจนถึงทุกวันนี้ แม้ชื่อของเขาจะไม่เป็นที่รู้จักเท่า Charles Dow หรือ Ralph Nelson Elliott แต่นักประวัติศาสตร์ต่างยอมรับว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกที่ทรงอิทธิพลต่อการวิเคราะห์ทางเทคนิคในรูปแบบที่เรารู้จักกัน

กลยุทธ์ Wyckoff คืออะไร?

กลยุทธ์การเทรดนี้ได้ถูกคิดค้นขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1900 โดยมีเป้าหมายหลักคือ การอยู่ฝั่งถูกของตลาดเสมอ ซื้อเมื่อราคาเริ่มขึ้นและขายเมื่อราคาเริ่มตก นอกจากนี้ ทฤษฎีนี้ยังอธิบายวิธีคาดการณ์การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของราคาอีกด้วย

จากการสังเกตเทรดเดอร์ในวอลล์สตรีต Wychoff ได้อธิบายว่าตลาดเคลื่อนที่ผ่าน 4 ขั้นตอนที่เกิดซ้ำ ๆ ได้แก่ ช่วงสะสม (accumulation) ช่วงราคาขึ้น (markup) ช่วงแจกจ่าย (distribution) และช่วงราคาลง (markdown) แต่ละขั้นตอนจะสอดคล้องกับแนวคิดของ "Composite Man" ตัวแทนของผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดตามแนวคิดของ Wyckoff ซึ่งมักเรียกว่านักลงทุนรายใหญ่ (smart money)

การวิเคราะห์ราคาและปริมาณการซื้อขายอย่างละเอียดช่วยให้เราเข้าใจความตั้งใจของ Composite Man ได้ก่อนที่เราจะได้เห็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์

กฎ 3 ข้อของทฤษฎี Wyckoff

ทฤษฎีนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎสำคัญ 3 ประการที่ควบคุมการทำงานของตลาด

  1. กฎของอุปสงค์และอุปทานกล่าวถึงความจริงพื้นฐานว่า ราคาเปลี่ยนแปลงไปตามการต่อสู้ระหว่างอุปสงค์และอุปทานที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    - ราคาจะขึ้นเมื่อมีคนต้องการซื้อมากกว่าขาย

    - ราคาจะลงเมื่อมีคนต้องการขายมากกว่าซื้อ

    แนวคิดนี้มาจากเศรษฐศาสตร์พื้นฐานและไม่ใช่เรื่องใหม่ เทรดดูเดอร์จะข้อมูลราคาและปริมาณการซื้อขายเพื่อให้เข้าใจว่าฝั่งใดที่มีอิทธิพลเหนือตลาด

  2. กฎแห่งเหตุและผลระบุว่าการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างมีนัยสำคัญเกิดขึ้นอย่างมีเหตุและผล ปริมาณการซื้อหรือขายก่อนที่ราคาจะเปลี่ยนแปลงก็ล้วนเกิดขึ้นจากสาเหตุทั้งสิ้น ปริมาณการซื้อหรือขายก่อนราคาเปลี่ยนแปลงจะกำหนดขนาดของการเปลี่ยนแปลงที่จะตามมา การเข้าใจกฎข้อนี้จะช่วยให้เทรดเดอร์ตั้งเป้าหมายราคาที่เป็นไปได้และฝึกความอดทน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อาจใช้เวลาสักพัก ลองพิจารณาช่วงสะสม (accumulation stage) นักลงทุนรายใหญ่จะค่อย ๆ เข้าซื้อสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ยิ่งช่วงการเข้าซื้อนานและปริมาณสินทรัพย์ที่ซื้อมากขึ้นเท่าไร ราคาก็จะยิ่งพุ่งสูงขึ้นเมื่อแนวโน้มขาขึ้นใหม่เริ่มต้นขึ้น

    กฎ 3 ข้อของทฤษฎี Wyckoff
  3. กฎแห่งความพยายามเทียบกับผลลัพธ์ เปรียบเทียบระหว่างปริมาณการซื้อขาย (ความพยายาม) กับการเคลื่อนไหวของราคา (ผลลัพธ์) โดยปริมาณความพยายามควรสอดคล้องกับผลลัพธ์ที่ได้ เราจะเห็นแนวโน้มที่แข็งแกร่งเมื่อความพยายามและผลลัพธ์สอดคล้องกัน แต่หากทั้งสองไม่สอดคล้อง (มีความพยายามมากแต่ได้ผลลัพธ์น้อย) นั่นแสดงว่าแนวโน้มกำลังอ่อนแรง และอาจเกิดการกลับตัวได้
    เทรดเดอร์ควรนำไปใช้อย่างไร?
    - หากทั้งราคาและปริมาณการซื้อขายเพิ่มสูงขึ้น คุณสามารถยืนยันได้ว่าแนวโน้มขาขึ้นมีความแข็งแกร่ง
    - หากราคายังพุ่งขึ้นแต่ปริมาณการซื้อขายกับลดลง คุณสามารคาดการณ์ได้ว่าอาจเกิดการกลับตัว

ข้อเสียของวิธี Wyckoff

ไม่มีวิธีใดที่สมบูรณ์แบบ และวิธี Wyckoff ก็เช่นกัน

  • การระบุช่วงต่าง ๆ อาจขึ้นอยู่กับการตีความส่วนตัว และเทรดเดอร์ต้องมีความอดทน เพราะการรอการยืนยันที่ชัดเจนบางครั้งหมายถึงการพลาดช่วงแรกของแนวโน้ม

  • ปริมาณการซื้อขายที่กระจายตัวในตลาดแบบกระจายศูนย์อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างราคาและปริมาณแบบดั้งเดิมใช้การไม่ได้ ดังนั้น เทรดเดอร์ฟอเร็กซ์หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ จำเป็นต้องเสริมการวิเคราะห์ด้วยตัวบ่งชี้ Order-Flow เพื่อป้องกันการตีความผิดพลาด

ลำดับกลยุทธ์ Wyckoff

ตามคำจำกัดความดั้งเดิม กลยุทธ์ Wyckoff จะอธิบายลำดับการดำเนินการดังนี้:

  • นักทำเงินมืออาชีพจะสะสมสินทรัพย์อย่างลับ ๆ แล้วค่อยดันราคาขึ้นในช่วงราคาขึ้น

  • จากนั้นก็จะทยอยขายหุ้นให้กับนักลงทุนที่เข้ามาช้าในช่วงแจกจ่าย (distribution)

  • ในที่สุด ผู้เล่นรายใหญ่จะกระตุ้นให้เกิดการลดราคา (markdown) เพื่อป้องกันไม่ให้นักลงทุนรายย่อยเข้าซื้อเร็วเกินไปในวงจรถัดไป

การนำกลยุทธ์ Wyckoff มาใช้ในการเทรดยุคใหม่

แม้ว่า Wyckoff จะใช้เพียงดินสอกับกระดาษเทปบันทึกข้อมูลการซื้อขายหลักทรัพย์ในการเทรด แต่วิธีการของเขาก็ปรับใช้ได้ดีกับตลาดอิเล็กทรอนิกส์ในยุคปัจจุบัน

ตัวอย่างเช่น ในปัจจุบันเทรดเดอร์อาจปรับตั้งค่าบางอย่างใน TradingView เพื่อจำลองการตั้งค่า Wyckoff ในอดีต โดยหน้าต่างหนึ่งแสดงกราฟแท่งเทียนและปริมาณการซื้อขาย ส่วนอีกหน้าต่างแสดงกราฟแบบ Point-and-Figure และหน้าต่างที่สามแสดงความแข็งแกร่งสัมพัทธ์เทียบกับดัชนี S&P 500 กราฟที่เคยวาดด้วยมือในอดีต ตอนนี้สามารถทำได้แบบเรียลไทม์ แต่ตรรกะการตีความก็ยังคงเหมือนเดิม สิ่งสำคัญคือความสามารถของเทรดเดอร์ในการระบุเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ภายในช่วง

เทรดเดอร์สถาบันยังคงใช้หลักการของ Wyckoff อยู่ แต่ในกรอบเวลาที่ต่างกัน ตัวอย่างเช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญอาจเปิดสถานะ short เป็นเวลาหลายสัปดาห์ในช่วงราคาสูงสุดของช่วงกว้าง (wide range top) โดยซ่อนการออกจากตลาดด้วยอัลกอริทึมภูเขาน้ำแข็ง (algorithmic icebergs) ในขณะที่เทรดเดอร์รายย่อยที่เทรดแบบสวิงอาจทำเพียงแค่เปิดสถานะ short ทันทีเมื่อราคาเริ่มทรุดตัว (initial breakdown) หลังการดีดตัวขึ้นปลอม ๆ (up-thrust) เมื่อรู้ว่าทั้งสองฝ่ายถูกควบคุมโดยกฎอุปสงค์และอุปทานเดียวกัน แต่ในระดับที่ต่างกัน เทรดเดอร์รายย่อยจะสามารถหลบเลี่ยงช่วงแจกจ่าย (distribution) ของผู้เล่นรายใหญ่ และรอเทรดในช่วงราคาลง (markdown) ถัดไปแทน

จุดที่น่าสนใจที่สุดของกลยุทธ์ Wyckoff ในโลกการเทรดยุคปัจจุบันคือ การเน้นเรื่องปริมาณการซื้อขาย ซึ่งเป็นพารามิเตอร์ที่ออสซิลเลเตอร์ยอดนิยมหลายตัวมักมองข้าม และปริมาณการซื้อขายมักเผยให้เห็นความสนใจที่ซ่อนอยู่ได้ล่วงหน้านานก่อนที่สัญญาณตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะปรากฎ หรือก่อนที่การแจ้งเตือนถึงไดเวอร์เจนซ์ของ RSI จะเกิดขึ้น

ด้วยความที่กลยุทธ์ Wyckoff มีประโยชน์อย่างมาก ซอฟต์แวร์สร้างกราฟขั้นสูงส่วนใหญ่จึงมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถนำกลยุทธ์นี้ไปใช้งานได้จริง หลายแพลตฟอร์มมีสคริปต์อัตโนมัติที่สามารถติดป้ายระบุช่วงต่าง ๆ ของตลาดได้โดยอัตโนมัติเพื่อช่วยให้เทรดเดอร์ได้โฟกัสเฉพาะที่การจัดการความเสี่ยง ตัวอย่างเช่น TradingView มีตัวบ่งชี้ที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถจำลองชุดเครื่องมือวิเคราะห์ Wyckoff ได้อย่างครบถ้วน

  • ตัวบ่งชี้ Auto Wyckoff Schematic จะทำการติดป้ายระบุสัญญาณต่าง ๆ อย่าง springs (จุดที่ราคาลงต่ำกว่าช่วงสะสมแล้วดีดตัวกลับขึ้น), up-thrusts (จุดที่ราคาพุ่งสูงเกินช่วงแจกจ่ายแล้วร่วงลง) และ sign-of-weakness bars (แท่งราคาที่แสดงสัญญาณความอ่อนแอของแนวโน้ม) ทันทีที่เกิดขึ้น

  • การเข้าถึงข้อมูลย้อนหลังแบบรายวัน (historical intraday data) ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถทดสอบย้อนหลังกฎการจดจำรูปแบบต่าง ๆ ที่ Wyckoff เคยสาธิตด้วยตัวอย่างเพียงไม่กี่รายการที่คัดสรรมาอย่างดี

การเปรียบเทียบกับวิธีการเทรดอื่น ๆ

Wyckoff เทียบกับกลยุทธ์ที่ใช้ตัวบ่งชี้

ตัวชี้วัดทางเทคนิคแบบดั้งเดิมอย่าง RSI หรือ MACD ให้สัญญาณการซื้อขายที่แม่นยำจากสูตรคำนวณทางคณิตศาสตร์ ขณะที่วิธี Wyckoff ใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบตลาดแบบประเมินตามสถานการณ์เป็นหลัก

ตัวบ่งชี้อาจส่งสัญญาณภาวะตลาดซื้อมากเกินไป (overbought) หรือขายมากเกินไป (oversold) โดยอัตโนมัติเมื่อถึงระดับที่กำหนด และเทรดเดอร์ที่ใช้วิธี Wyckoff จะประเมินว่าการเคลื่อนไหวของราคาเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงสะสม (accumulation) หรือช่วงแจกจาย (distribution)

ตัวอย่าง

เทรดเดอร์ Wyckoff สังเกตว่า RSI อยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป แทนที่จะขายทันทีเพียงเพราะสัญญาณนี้ เทรดเดอร์จะมองหาการยืนยันว่าแนวโน้มกำลังกลับตัวจริง ๆ เช่น ราคาสร้างจุดสูงสุดใหม่แต่ปริมาณการซื้อขายลดลง ( bearish divergence ที่บ่งชี้ถึงช่วงแจกจ่าย) ซึ่งทำให้เกิดแนวทางที่ครอบคลุมและอิงตามบริบทมากขึ้น 

Wyckoff vs. พฤติกรรมของราคา (price action)

การเทรดพฤติกรรมราคาจะเน้นที่รูปแบบกราฟ และระดับแนวรับ-แนวต้าน โดยไม่คำนึงว่าใครเป็นผู้ขับเคลื่อนการเคลื่อนไหวของราคา ส่วนวิธี Wyckoff จะเติมเต็มช่องว่างนี้ด้วยการเชื่อมโยงรูปแบบราคากับการกระทำของนักลงทุนรายใหญ่ (smart money) และให้ความสำคัญกับปริมาณการซื้อขายเป็นหลัก

ตัวอย่าง

เทรดเดอร์ที่เทรดพฤติกรรมราคาจะมองไปที่กรอบเคลื่อนที่ในแนวข้างของราคา (sideways) ที่จุดสูงสุดของตลาด แล้วบอกว่ามันเป็นการสะสมราคา (consolidation) แต่เทรดเดอร์ที่ใช้วิธี Wyckoff จะมองหาหลักฐานของช่วงแจกจ่าย (distribution) ภายในกรอบราคาดังกล่าว นอกจากนี้ Wyckoff ยังวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายร่วมกับการเคลื่อนไหวของราคา ทำให้สามารถยืนยันได้ว่า การพุ่งทะลุ (breakout) จะล้มเหลวหรือสำเร็จ สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้เลยถ้าคุณใช้เพียงพฤติกรรมราคาเพียงอย่างเดียว

แบ่งปันกับเพื่อน ๆ:

เปิดบัญชี FBS

โดยการลงทะเบียน คุณได้ยอมรับเงื่อนไขของ ข้อตกลงลูกค้า FBS และ นโยบายความเป็นส่วนตัว FBS และยอมรับความเสี่ยงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการซื้อขายในตลาดการเงินระดับโลก