กลยุทธ์การ Scalping แบบง่าย ๆ
Scalping แปลเป็นไทยได้ว่า การถลกหนังศีรษะ อาจดูเป็นคำที่น่ากลัวในความคิดของคนทั่วไป ในทางกลับกัน เทรดเดอร์ค้นพบโอกาสมากมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความหมายของคำนี้ ในการซื้อขาย คุณไม่ต้องทำอะไรกับหนังศีรษะของมนุษย์ทั้งนั้น แต่ให้คุณ "แบ่ง" จุดออกเป็นส่วนๆ เพื่อทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยของราคาแทน ในความเป็นจริงแล้ว Scalping หมายถึง รูปแบบการซื้อขายระยะสั้นที่ช่วยให้ทำกำไรได้จากการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของราคาให้ได้บ่อยที่สุดภายในหนึ่งวัน ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า Scalping เป็นวิธีการซื้อขายที่มีความเสี่ยง ซึ่งต้องคอยเฝ้าดูแผนภูมิตลอดทั้งวัน ดังนั้นนักเก็งกำไรหรือ Scalper จึงต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้าและติดตามตลาดอย่างระมัดระวัง การรู้เคล็ดลับเกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยงและการวางจุดเข้าและระดับ Stop Loss ได้อย่างถูกต้องนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น เทรดเดอร์มือใหม่ที่มั่นใจในตัวเองในการ Scalping อาจกลายเป็นผู้แพ้ได้หากไม่มีขั้นตอนวิธีในการเข้าสู่ตลาด วันนี้เราจะพาคุณฝ่าฟันอุปสรรคนี้ไปด้วยกันและแบ่งปันกลยุทธ์ Scalping ที่มีประสิทธิภาพ
ประโยชน์ของกลยุทธ์ Scalping
กลยุทธ์ Scalping ใน Forex มีประโยชน์อย่างไร? ประการแรกเลย ส่วนใหญ่แล้วมันมีกฎการเข้าและออก ข้อกำหนดในการจัดการเงิน ตราสารในการซื้อขาย และกรอบเวลาที่เข้มงวด ดังนั้น หากกลยุทธ์ได้รับการทดสอบและเทรดเดอร์ปฏิบัติตามขั้นตอนวิธีอย่างถูกต้อง พวกเขาก็มีโอกาสสูงที่จะประสบความสำเร็จ ประการที่สอง Scalping จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วภายในระยะเวลาอันสั้น หากเทรดเดอร์รู้สึกว่าพวกเขามีความอดทนต่ำในการซื้อขายในกรอบเวลาที่สูงๆ Scalping ก็ถือว่าเป็นทางของพวกเขาเลยล่ะ ประการที่สาม Scalping ช่วยลดความเสี่ยงชั่วข้ามคืนได้ เนื่องจากการซื้อขายทั้งหมดจะถูกปิดภายในหนึ่งวัน ประการสุดท้าย Scalping สามารถฝึกความแข็งแกร่งให้กับจิตใจของเทรดเดอร์ได้! หากพวกเขามีประสบการณ์ในการ Scalping พวกเขาจะได้เรียนรู้วิธีการจดจ่อกับเงินทุนของตนอย่างมาก ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะยังคงใจเย็นอยู่ได้แม้ในสถานการณ์นั้นจะไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้
Scalping ทำงานอย่างไรในการเทรด?
กลยุทธ์ Scalping ต้องการองค์ประกอบที่สำคัญอยู่สามประการ สิ่งเหล่านี้คือการวิเคราะห์ทางเทคนิค ความเร็วในการเทรด และการเทรดที่สม่ำเสมอ แนวคิดพื้นฐานในการเทรดแบบ Scalping คือการเทรดสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องด้วยสเปรดที่แคบหลายๆ ครั้งในหนึ่งวัน เทรดเดอร์ให้ความสนใจกับแผนภูมิและจับการเคลื่อนไหวเล็กน้อยในตลาดอย่างเต็มที่ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของราคาเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นเป็นประจำ เหล่า Scalper ไม่เคยหยุดพักขณะทำการตัดสินใจซื้อขาย
ในการเทรดแบบ Scalping เทรดเดอร์มีแนวทางในการเทรดที่ต่างออกไป มันไม่ใช่แค่ “ซื้อต่ำ ขายสูง” หนึ่งในแนวทางที่มีชื่อเสียงที่สุดเรียกว่า การเทรดตามแรงกระตุ้น เมื่อเทรดเดอร์ทำตามแรงกระตุ้น พวกเขารอให้ตัวกระตุ้นขยับสินทรัพย์ นี่อาจเป็นข่าวการเมืองหรือเศรษฐกิจและเหตุการณ์อื่นๆ ที่สามารถเขย่าตลาดได้ เหล่า Scalper จะติดตามตัวขับเคลื่อนตลาดที่มีศักยภาพและตรวจสอบปฏิทินเศรษฐกิจล่วงหน้า เป้าหมายหลักของเทรดเดอร์คือการจับการเคลื่อนไหวที่สำคัญในตลาดและปิดตำแหน่งหลังจากโมเมนตัมเริ่มหายไป
Scalping ประเภทที่สองนั้นขึ้นอยู่กับ ความลึกของตลาด ที่แสดงความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ต่างจากการเทรดแบบ Scalping อีกวิธีหนึ่ง เพราะวิธีนี้ไม่ต้องใช้แผนภูมิหรือตัวบ่งชี้ใดๆ Scalper เพียงแค่ต้องตรวจสอบราคาเสนอซื้อ (bid) และราคาเสนอขาย (ask) ในหน้าต่างความลึกของตลาด พวกเขาคาดการณ์ความเร็วโดยประมาณของการเปลี่ยนแปลงความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน และคาดการณ์ทิศทางของราคา โดยการวิเคราะห์จำนวนคำสั่งซื้อขาย มันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องกล่าวถึงว่ารูปแบบการซื้อขายแบบนี้เหมาะสำหรับการซื้อขายหุ้น ไม่เหมาะกับ Forex เนื่องจากตลาด Forex มีสภาพคล่องสูง มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับคำสั่งซื้อขายได้
บางครั้ง Scalper ก็ผสานรวมการเทรดตามแรงกระตุ้นกับการวิเคราะห์ความลึกของตลาดเข้าด้วยกัน ข้อเสียของระบบนี้คือมันใช้เวลานานมากกว่า
การเทรดตามช่วง เป็นอีกแนวทางหนึ่งของการ Scalping เมื่อ Scalper ติดตามราคาภายในช่วงที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
นอกจากนี้ยังมีแนวทางหนึ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหมู่เทรดเดอร์ที่เทรดคริปโต แนวทางนี้เรียกว่า อาร์บิทราจ (arbitrage) เทรดเดอร์ได้รับกำไรจากความแตกต่างของราคาโดยการซื้อและขายสินทรัพย์เดียวกันในตลาดต่างๆ
แหล่งข้อมูลต่างๆ ยังจำแนกการ Scalping ตามความเร็วของการเทรดอีกด้วย ประกอบด้วย Scalping แบบความถี่สูง, Scalping แบบระยะกลาง และ Scalping แบบอนุรักษ์นิยม
การ Scalping ความถี่สูงมักจะดำเนินการผ่านโรบอตเทรดหรือ Expert Advisor เนื่องจากจะมีการถือตำแหน่งไว้ไม่เกินหนึ่งนาที Scalping ระยะกลาง หมายถึง กลยุทธ์การเทรดแบบแอ็กทีฟ โดยใช้เวลา 5-10 นาทีต่อการเทรด ในขณะที่ Scalping แบบอนุรักษ์นิยมนั้น หมายถึงใช้เวลา 30 นาทีต่อการเทรด
ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ Scalping เป็นรูปแบบการเทรดที่มีความเสี่ยง แล้วมันยากกว่าการเทรดรายวันหรือเปล่า? มาเปรียบเทียบรูปแบบการเทรดสองรูปแบบนี้กัน!
กลยุทธ์การเทรดแบบ Scalping VS. กลยุทธ์การเทรดรายวัน
การเทรดแบบ Scalping และการเทรดรายวันมีคุณสมบัติที่เหมือนกันอยู่บางประการ รูปแบบการเทรดทั้งสองแบบต้องการให้เทรดเดอร์ปิดตำแหน่งภายในหนึ่งวัน อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์รายวันมักจะเทรดในกรอบเวลา H1-H4 ที่ระดับความเร็วเฉลี่ย เทรดเดอร์รายวันพยายามที่จะตามให้ทันแนวโน้มระยะยาวและปรับสมดุลความเสี่ยงของพวกเขา โดยปกติแล้ว เทรดเดอร์รายวันจะถือคำสั่งซื้อขายรายวันไว้จำนวนเล็กน้อย
ในทางกลับกัน เทรดเดอร์ที่เทรดแบบ Scalping ส่วนใหญ่จะโฟกัสไปที่กรอบเวลา M1-M15 และจัดการกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นและขนาดการซื้อขายที่ใหญ่กว่า พวกเขาสามารถเปิดการเทรดได้หลายสิบหรือหลายร้อยรายการภายในหนึ่งวัน
| Scalping | การเทรดรายวัน |
ประเภทบัญชี | ECN, Standard | Standard, Micro, Cent |
กรอบเวลา | M1-M30 | H1-H4 |
ความเร็ว | 10-100 การเทรด/วัน | 1-5 การเทรด/วัน |
ความเสี่ยง | สูง | ปานกลาง |
ขนาดคำสั่งซื้อขาย | ใหญ่ | ตามความเสี่ยง |
โดยสรุป เรามาดูเช็กลิสต์ของ Scalper กัน
เช็กลิสต์ของ Scalper:
- เทรดในกรอบเวลาขนาดเล็ก (M1, M5, M15)
- ชอบความเสี่ยงและพร้อมที่จะทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการเทรด
- เทรดในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวน/วุ่นวาย
- ชอบที่จะถือตำแหน่งขนาดใหญ่เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนมากขึ้นจากการเทรดระยะสั้น
หากคุณตอบว่า "ใช่" มากกว่าสองข้อแสดงว่าคุณเป็น Scalper ตัวจริง! สำหรับผู้ที่ตอบว่า "ใช่" เพียงข้อเดียว ในตอนนี้คุณอาจกำลังพิจารณาถึงแนวทางนี้อยู่ อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การเทรด Forex เราจะอธิบายด้านล่างเพื่อให้สามารถเข้าใจได้ง่ายๆ เราเชื่อว่าหนึ่งในพวกคุณอาจจะนำไปลองใช้และดูว่ามันได้ผลมากแค่ไหน
กลยุทธ์ที่ 1 - กลยุทธ์ Scalping 5 นาที
องค์ประกอบสำคัญ:
- กรอบเวลา: H1, M5
- คู่สกุลเงิน: คู่สกุลเงินที่มีสภาพคล่องพร้อมกับค่าสเปรดต่ำ (EURUSD, GBPUSD, USDCHF, USDJPY)
- ตัวบ่งชี้: EMA-8 และ EMA-21
ขั้นตอนวิธีของสถานการณ์ "Buy"
- ก่อนอื่นเลยเราต้องทำการยืนยันว่าแนวโน้มนั้นเป็นแนวโน้มที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ในการที่จะยืนยันแนวโน้ม เราจะเปิดแผนภูมิ H1 และใส่ EMA-8 และ EMA-21 ลงไป ในการทำเช่นนั้น ให้เปิด Metatrader และคลิกที่ "Insert" – "Indicators" – "Trend" – "Moving Average"
- สำหรับสถานการณ์ "Buy" เราจำเป็นที่จะต้องเห็นแนวโน้มขาขึ้น เพื่อยืนยันแนวโน้มนี้ระยะ EMA-8 ควรอยู่เหนือระยะ EMA-21 เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ไม่ควรที่จะตัดกัน
- ทีนี้เราไปที่แผนภูมิ M5 กัน
- เรารอให้ขอบล่างของแท่งเทียนมาแตะที่ระยะ EMA-8 นี่คือทริกเกอร์ของเรา
- เราต้องมองหาแท่งเทียนที่สูงที่สุดท่ามกลางแท่งเทียนห้าแท่งที่ปรากฏขึ้นก่อนแถบทริกเกอร์
- ให้วางคำสั่ง Buy ที่ระดับสูงสุดของแท่งเทียนนี้ วางคำสั่ง Stop loss ที่ระดับเดียวกันกับระดับต่ำสุดของแถบทริกเกอร์
- เราวางคำสั่ง Take Profit อันแรกในระยะเดียวกันกับระยะที่อยู่ระหว่างตำแหน่งที่เข้าซื้อและ Stop Loss หากแนวโน้มยังคงแข็งแกร่งใน H1 และเรามั่นใจมากพอ เราสามารถเพิ่มผลตอบแทนของเราเป็นสองเท่าและปิดตำแหน่งที่ระยะห่างระหว่างตำแหน่งที่เข้าซื้อและ Stop Loss ที่มากกว่าเป็นสองเท่าได้
มาดูตัวอย่างบนแผนภูมิ USDJPY กัน บน H1 เราจะเห็นว่าราคากำลังเคลื่อนไหวโดยมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ระยะ EMA-8 กำลังเคลื่อนที่อยู่เหนือระยะ EMA-21
เราเปลี่ยนมาที่ M5 และรอให้แท่งเทียนทดสอบ EMA-8 โดยเงาเทียนด้านล่าง เมื่อแท่งเทียนทริกเกอร์เกิดขึ้น เรานับแท่งเทียนห้าแท่งจากแท่งเทียนทริกเกอร์และเลือกแท่งเทียนที่มีจุดสูงสุดที่สูงที่สุด เราเปิดตำแหน่ง Buy ที่ 150.286 เราวางคำสั่ง "Buy Stop" ไว้ที่จุดสูงสุดของแท่งเทียนที่สูงที่สุด คำสั่ง Stop Loss จะวางอยู่ที่ระดับต่ำสุดของแท่งเทียนทริกเกอร์ ที่ 150.271 ในขณะที่ระดับ Take Profit อยู่ที่:
149.783 - 149.748 = 0.035
TP1 = 149.783 + 0.035 = 149.818
TP2 = 149.818 + 0.035 = 149.853
ในแผนภูมิด้านล่าง คุณจะได้เห็นว่าการเทรดนั้นดำเนินไปอย่างไร
ขั้นตอนวิธีของสถานการณ์ "Sell"
ในทางตรงกันข้าม เรามาดูขั้นตอนในการเปิดสถานะ Short กัน
- ใน H1 นั้น ระยะ EMA-8 ควรอยู่ต่ำกว่าระยะ EMA-21 ซึ่งเป็นการยืนยันว่าเป็นแนวโน้มขาลง อย่าลืมว่าในสถานการณ์ "Buy" นั้น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ไม่ควรมาตัดกัน
- ทีนี้เราไปดูที่แผนภูมิ M5 กัน
- เรารอให้ขอบบนของแท่งเทียนมาแตะที่ระยะ EMA-8 นี่คือทริกเกอร์ของเรา
- เราต้องมองหาแท่งเทียนที่ต่ำที่สุดท่ามกลางแท่งเทียนห้าแท่งที่ปรากฏขึ้นก่อนแถบทริกเกอร์
- ให้วางคำสั่ง Sell ที่ระดับต่ำสุดของแท่งเทียนนี้ วางคำสั่ง Stop loss ที่ระดับเดียวกันกับระดับสูงสุดของแถบทริกเกอร์
- วางคำสั่ง Take Profit แรกที่ระยะที่เท่ากับระยะ Stop Loss ของเรา วางคำสั่ง Take Profit อันที่สองไว้ที่จุดที่มีระยะห่างระหว่างตำแหน่งเข้าและ Stop Loss ที่มากกว่าเป็นสองเท่าได้
บนกราฟ H1 ของ EURUSD เราจะสังเกตเห็นว่าคู่สกุลเงินนี้เคลื่อนไหวในแนวโน้มขาลง ระยะ EMA-8 กำลังเคลื่อนที่อยู่ต่ำกว่าระยะ EMA-21
เราเปิดแผนภูมิ M5 และรอแท่งเทียนทริกเกอร์ หลังจากที่มันปรากฏขึ้น เรานับแท่งเทียนห้าแท่งจากแท่งเทียนทริกเกอร์และเลือกแท่งเทียนที่มีจุดต่ำสุดต่ำที่สุด นี่คือคำสั่ง Sell ของเราซึ่งอยู่ที่ 0.97525 วางคำสั่ง Stop Loss ที่ระดับเดียวกันกับระดับสูงสุดของแท่งเทียนทริกเกอร์ ที่ระดับ 0.97661 ระดับ Take Profit คำนวณได้ดังนี้:
0.97661 - 0.97525 = 0.00136
TP1 = 0.97661 - 0.00136 = 0.97389
TP2 = 0.97389 - 0.00136 = 0.97253
ไปดูคำสั่ง Sell กัน
ทุกอย่างทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ!
กลยุทธ์ที่ 2 - Gold-Scalping
กลยุทธ์ที่สองนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการซื้อขายทองคำและต้องการเรียนรู้วิธีการ Scalping โลหะมีค่า ต้องจำให้ขึ้นใจเลยว่าคุณต้องให้ความสนใจกับแผนภูมิอย่างเต็มที่
องค์ประกอบสำคัญ:
- กรอบเวลา: M1
- สินทรัพย์: ทองคำ, เงิน
- ตัวบ่งชี้: Williams’ Percent Range: Fast (9) และ Slow (54) โดยใช้ระยะ -30 และ -70
ขั้นตอนวิธีของสถานการณ์ "Buy"
คุณจำเป็นต้องวางคำสั่ง Buy เมื่อออสซิลเลเตอร์ของทั้ง Slow และ Fast ทะลุเหนือ -30 ปิดตำแหน่งของคุณเมื่อออสซิลเลเตอร์ Fast (9) ออกจากโซน วาง Stop Loss ต่ำกว่าระดับแนวรับที่อยู่ใกล้เคียงหลายจุด
ขั้นตอนวิธีของสถานการณ์ "Sell"
เมื่อคุณพิจารณาที่จะเปิดตำแหน่ง Short คุณต้องวางคำสั่ง Sell เมื่อออสซิลเลเตอร์ของทั้ง Slow และ Fast ทะลุต่ำกว่า -70 และปิดตำแหน่งเมื่อออสซิลเลเตอร์ Fast ออกจากโซน วาง Stop Loss ไว้เหนือระดับแนวต้านที่อยู่ใกล้เคียงหลายจุด
ด้านล่างนี้คุณสามารถดูตัวอย่างของการเปิดตำแหน่ง Long ได้ เราเปิดตำแหน่งเมื่อออสซิลเลเตอร์ทั้ง Slow และ Fast อยู่เหนือระดับ -30 ที่ 1,621.16 และปิดที่ 1,625.59 เมื่อออสซิลเลเตอร์ Fast ข้ามระดับ -30 ไปที่ด้านล่าง ที่ระดับ 1,619 เป็นจุดสำหรับ Stop Loss ของเรา
ข้อดีและข้อเสียของ Scalping
เช่นเดียวกับการเทรดทุกๆ รูปแบบ Scalping ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย มันเป็นเรื่องที่ดีมากถ้าคุณเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เพราะวิธีนี้คุณจะตระหนักถึงความเสี่ยงที่คุณอาจเผชิญได้อย่างเต็มที่
ข้อดีของ Scalping
- ความสามารถในการทำกำไร
- โอกาสมากมายในการทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาเล็กน้อย
- ความยืดหยุ่นในการตัดสินใจ
- ความเสี่ยงด้านตลาดต่ำ
- กลยุทธ์ที่ไม่มีทิศทาง
- สามารถทำแบบอัตโนมัติได้อย่างง่ายดาย
ข้อเสียของ Scalping
- ต้นทุนการทำธุรกรรมสูง
- ต้องใช้เลเวอเรจขนาดใหญ่
- ต้องใช้เวลามาก
- จำเป็นต้องทำธุรกรรมจำนวนมากต่อวัน
คำถามเกี่ยวกับ Scalping ในการเทรด
Scalping ในการเทรดนั้นถูกกฎหมายหรือไม่?
Scalping ในการเทรดนั้นถูกต้องตามกฎหมายอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม โบรกเกอร์บางรายอาจไม่อนุญาต เนื่องจากการวางคำสั่งซื้อขายจำนวนมากในช่วงเวลาสั้นๆ อาจสร้างแรงกดดันต่อระบบของโบรกเกอร์ เขตอำนาจศาลบางแห่งห้ามไม่ให้ทำการ Scalping ดังนั้นนี่คือประเด็นที่สำคัญอีกประเด็นหนึ่งสำหรับ Scalper ในการเลือกโบรกเกอร์ FBS มีสิทธิ์เข้าถึงแพลตฟอร์ม ECN (Electronic Communication Network) ผ่านบัญชี ECN FBS ยินดีต้อนรับเทรดเดอร์แบบ Scalper และพร้อมที่จะมอบความเร็วในการทำธุรกรรมที่รวดเร็ว, ค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า, การไม่จำกัดจำนวนการเปิดตำแหน่งสูงสุดและคำสั่งที่รอดำเนินการสำหรับการซื้อขาย และมีผู้ให้บริการสภาพคล่องจำนวนมาก กลไก ECN มีความโปร่งใสและให้ข้อมูลราคาที่ครอบคลุมแก่โบรกเกอร์ ซึ่งช่วยป้องกันการปั่นราคาตลาด
Scalping ในการเทรดนั้นทำกำไรได้หรือไม่?
Scalping อาจให้ผลลัพธ์ที่ดี หากเทรดเดอร์ปฏิบัติตามขั้นตอนวิธีของกลยุทธ์การซื้อขายอย่างเคร่งครัด และทำให้แน่ใจว่าผลกำไรครอบคลุมค่าใช้จ่ายของคุณ คุณจำเป็นต้องทำแบ็กเทสต์กลยุทธ์การซื้อขายที่คุณต้องการใช้สำหรับ Scalping ก่อนลองใช้ในสภาพแวดล้อมของตลาดจริง
จะเริ่ม Scalping ในการเทรดได้อย่างไร?
เพื่อเริ่มเทรดแบบ Scalping กับ FBS เทรดเดอร์ต้องปฏิบัติตามสี่ขั้นตอนง่ายๆ ขั้นแรก พวกเขาต้องเลือกบัญชี สำหรับ Scalping ขอแนะนำให้เลือก บัญชี ECN ที่มีอยู่ในแพลตฟอร์ม MT4 หลังจากนั้น เทรดเดอร์จะต้องเลือกกลยุทธ์การเทรดแบบ Scalping ที่เหมาะสมสำหรับตนหรือเพื่อสร้างระบบการเทรดของตน กลยุทธ์ Scalping ใน 5 นาทีนั้นดี หากเทรดเดอร์ต้องการทดสอบการ Scalping ในขั้นตอนที่สาม การคำนวณขนาดของการเทรดเป็นสิ่งที่สำคัญ สุดท้ายนี้ เทรดเดอร์จะต้องเลือกตราสาร กำหนดกรอบเวลา และตรวจสอบข่าวต่างๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อการกลยุทธ์ของพวกเขา ขอให้โชคดี!