นโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)

มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) คืออะไร?

การรักษาเสถียรภาพของราคาเป็นบทบาทหน้าที่หลักของธนาคารกลาง ธนาคารกลางดำเนินการโดยอิสระจากรัฐบาล ธนาคารต้องควบคุมอัตราเงินเฟ้อและสร้างสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ เพื่อสนับสนุนเสถียรภาพด้านราคา ซึ่งสามารถใช้มาตรการเหล่านี้ได้ผ่านนโยบายการเงิน

คำอธิบายอย่างง่ายของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ

มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณเป็นเครื่องมือที่ธนาคารกลางใช้เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบ ธนาคารกลางดำเนินมาตรการนี้โดยการซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น พันธบัตรรัฐบาลจากธนาคารต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้บุคคลและธุรกิจสามารถกู้ยืมเงินได้มากขึ้น

นโยบายการเงินมีสองประเภท ได้แก่ นโยบายการเงินแบบเข้มงวด (ตึงตัว, หดตัว) และนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (คลายตัว, ขยายตัว) นโยบายการเงินแบบเข้มงวดจะนำมาใช้เมื่อปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจมีมหาศาลจนธนาคารต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดปริมาณเงินและลดอัตราเงินเฟ้อลง ในทางกลับกัน นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายจะนำมาใช้เมื่อ GDP เติบโตขึ้นอย่างช้า ๆ ในกรณีนั้น ธนาคารกลางจะเพิ่มปริมาณเงินและลดอัตราดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยต่ำดึงดูดนักลงทุนและมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างกระแสเงินสดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลงจนเกือบเป็น 0% และธนาคารกลางยังคงต้องการมาตรการสนับสนุนนี้อยู่ ก็จะใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ

มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณทำงานอย่างไร?

1. ธนาคารกลางผลิตเงินใหม่ทางอิเล็กทรอนิกส์

เมื่อธนาคารกลาง เช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) หรือธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตัดสินใจใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ พวกเขาผลิตเงินใหม่ทางอิเล็กทรอนิกส์ พวกเขาไม่ได้พิมพ์เงินจริงออกมา แต่จะป้อนตัวเลขใหม่ลงในระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถเพิ่มปริมาณเงินได้

2. ด้วยเงินใหม่นี้ ธนาคารกลางจะซื้อพันธบัตรรัฐบาลจากธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ

เมื่อธนาคารกลางผลิตเงินใหม่นี้แล้ว พวกเขาจะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลจากธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ พันธบัตรรัฐบาลให้สัญญาว่าจะจ่ายคืนพร้อมดอกเบี้ยในภายหลัง ธนาคารพาณิชย์ก็ซื้อพันธบัตรเหล่านี้เพราะถือว่าเป็นการลงทุนที่ปลอดภัย

โปรดจำไว้ว่าธนาคารกลางไม่ได้ซื้อพันธบัตรจากรัฐบาลโดยตรง กรณีดังกล่าวเรียกว่า Debt monetization ซึ่งก็คือการให้ธนาคารกลางผลิตเงินออกมาเพื่อซื้อพันธบัตรนั้นเสียเอง พูดอีกอย่างได้ว่าเป็นการให้ธนาคารกลางรับซื้อหนี้สาธารณะของรัฐบาล หรือก็คือการที่ธนาคารกลางให้รัฐบาลกู้เงิน (monetary financing) นั่นเอง และถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายในนโยบายการเงินสำหรับประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่

3. ธนาคารได้รับเงินใหม่ซึ่งเป็นการเพิ่มเงินทุนสำรอง

เมื่อธนาคารกลางซื้อพันธบัตรรัฐบาลเหล่านี้จากธนาคารพาณิชย์ พวกเขาจ่ายเงินด้วยเงินอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ที่พวกเขาผลิตขึ้น สิ่งนี้จะเพิ่มเงินทุนสำรองของธนาคารพาณิชย์ หมายความว่าตอนนี้พวกเขามีเงินมากขึ้นที่จะปล่อยกู้ให้ธุรกิจและบุคคลทั่วไป การให้กู้ยืมที่เพิ่มขึ้นนี้ช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและอาจนำไปสู่การลงทุน การจ้างงาน และการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคมากขึ้น สิ่งนี้สามารถช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจได้

4. ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและช่วยลดอัตราดอกเบี้ยได้

ด้วยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ ธนาคารกลางสามารถช่วยลดอัตราดอกเบี้ยได้ เมื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ ธุรกิจและบุคคลทั่วไปจะกู้ยืมเงินได้ในอัตราที่ถูกกว่า ซึ่งอาจนำไปสู่การลงทุนและการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น

5. เป้าหมายคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ

เป้าหมายสูงสุดของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณคือการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและป้องกันภาวะเงินฝืดในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำ โดยจากการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้นนี้ ธนาคารกลางหวังว่าจะกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพิ่มการปล่อยสินเชื่อและการลงทุน และป้องกันไม่ให้ราคาร่วงลงมากเกินไปได้

เมื่อธนาคารกลางหยุดซื้อพันธบัตรใหม่ ธนาคารจะเก็บพันธบัตรที่ซื้อไว้ในงบดุล หากพันธบัตรเหล่านี้ครบกำหนดแล้ว (ส่วนใหญ่มีวันครบกำหนดเมื่อมีการชำระคืนการลงทุนครั้งแรกให้กับเจ้าของพันธบัตร) พวกมันก็จะถูกแทนที่ด้วยพันธบัตรใหม่ นอกจากนี้ ธนาคารสามารถปล่อยให้พันธบัตรครบกำหนดได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนหรือขายออกสู่ตลาด

1080_1080px_Central bank creates money_10-03-2023_EN.png

มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ vs. การพิมพ์เงิน

วัตถุประสงค์และขอบเขต

มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณเกี่ยวข้องกับการผลิตเงินใหม่ทางอิเล็กทรอนิกส์ และใช้เงินนี้เพื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาลจากธนาคารพาณิชย์ ในทางกลับกัน การพิมพ์เงินหมายถึงการพิมพ์ธนบัตรและเหรียญใหม่และมักใช้เป็นมาตรการสุดท้ายในการแก้ปัญหาหนี้ของภาครัฐหรือภาวะเงินเฟ้อรุนแรง

การควบคุมปริมาณเงิน

ด้วยการผ่อนคลายเชิงปริมาณ ธนาคารกลางสามารถควบคุมจำนวนเงินใหม่ที่พวกเขาผลิตและอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น พวกเขาสามารถปรับจำนวนพันธบัตรรัฐบาลที่พวกเขาซื้อเพื่อปรับจำนวนเงินใหม่ที่หมุนเวียนในระบบ

อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงเรื่องการพิมพ์เงินแล้ว ก็จำเป็นต้องมีการควบคุมมากขึ้นว่าจะพิมพ์ออกมาจำนวนเท่าไรและจะจัดการอย่างไร การพิมพ์เงินอาจนำไปสู่การลดค่าเงินและเงินเฟ้ออย่างรวดเร็วได้หากไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม

QE ส่งผลกระทบต่อสกุลเงินอย่างไร?

เมื่อธนาคารกลางเพิ่มปริมาณเงินเข้ามา ราคาและกำลังซื้อของสกุลเงินจะลดลง เว้นแต่ประเทศอื่น ๆ จะใช้นโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณเช่นกัน

พูดง่าย ๆ ก็คือ สกุลเงินของประเทศมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลงจากมาตรการ QE ตัวอย่างเช่น USD สูญเสียมูลค่าไป 14% เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของ Covid-19 เริ่มต้นขึ้น ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะ Fed พิมพ์เงินออกมาหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐและตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0%

2 (1).png

ผลกระทบของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณต่อเศรษฐกิจ

มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณสามารถเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียน เพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงินได้ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับบุคคลและธุรกิจในการเข้าถึงสินเชื่อ ซึ่งการลงทุนก็สามารถเข้าถึงได้มากขึ้นเช่นกัน

ข้อเสียอย่างหนึ่งของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณคือ มันอาจทำให้ราคาของสินทรัพย์เฟ้อได้ เช่น หุ้นและอสังหาริมทรัพย์ โดยมันสามารถสร้างปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "เวลท์ เอฟเฟ็กต์" (wealth effect) ได้ ซึ่งบุคคลและธุรกิจจะรู้สึกมั่งคั่งขึ้นและมีความมั่นใจมากขึ้น เป็นการนำไปสู่การจับจ่ายใช้สอยและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม หากราคาสินทรัพย์สูงเกินจริง อาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่และวิกฤตการเงินในที่สุด

ตัวอย่างเช่น โครงการ QE ที่ดำเนินโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ หลังเกิดโรคระบาด ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้น โดยดัชนี S&P 500 (US500) พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ภายในปี 2021 ขณะนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจครั้งนี้

ทำไม QE ถึงมีความเสี่ยงมาก?

มีเหตุผลหลายประการที่นักวิเคราะห์มองว่านโยบายนี้มีความเสี่ยง:

  • มันสามารถสร้างอัตราเงินเฟ้อและฟองสบู่ได้สูง ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมั่นใจว่า QE สามารถกระตุ้นอัตราเงินเฟ้อได้สูงมาก
  • นักวิเคราะห์บางคนวิจารณ์ว่ามันไร้ประสิทธิภาพ พวกเขาแนะนำว่านโยบายการคลัง (การใช้จ่ายและการลงทุนของรัฐบาลและการลดภาษี) เป็นทางออกที่ดีที่สุดในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
  • ในท้ายที่สุด ผู้เชี่ยวชาญหลายคนแนะนำว่า QE เป็นเพียงวิธีที่รัฐบาลและธนาคารพาณิชย์ใช้เพื่อซ่อนปัญหาและพึ่งพาธนาคารกลางในการแก้ปัญหา

ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณไม่ได้เกิดขึ้นตามทฤษฎี แต่เกิดขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว คุณสามารถอ่านตัวอย่างต่าง ๆ ได้ด้านล่าง และตอนนี้ เรามาดูข้อดีของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณกัน

ประโยชน์ของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ

  • ช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำ
  • ช่วยให้ธนาคารกลางอัดฉีดเงินใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจด้วยวิธีที่ควบคุมได้
  • ช่วยลดอัตราดอกเบี้ยและเพิ่มสินเชื่อ
  • ช่วยให้ผู้คนสามารถทนต่อช่วงเวลาที่ยากลำบากได้

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่า QE อาจนำไปสู่การเพิ่มหนี้ให้กับภาครัฐ ในท้ายที่สุดแล้ว วิกฤตปี 2020 ที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้เกิดจาก QE ที่ไม่สามารถควบคุมได้

ตัวอย่างของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ

ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เริ่มใช้ QE ในปี 2001 ในเวลานั้นเศรษฐกิจเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจซบเซา (stagnation) และการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ในขณะที่เศรษฐกิจของญี่ปุ่นกำลังไปได้สวย ในตอนนี้ BOJ ได้ส่งสัญญาณบางอย่างเกี่ยวกับการยุติการใช้นโยบายนี้

ธนาคารกลางอังกฤษและธนาคารกลางสหรัฐฯ ใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณในช่วงวิกฤตปี 2008 QE ในสหรัฐอเมริกาทำให้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยลดลง อัตราเงินเฟ้อมีเสถียรภาพ และมีการจ้างงานที่ดีขึ้น แต่ในทางกลับกัน มันก็ทำให้เกิดการลดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐลงด้วย

ธนาคารกลางยุโรปเริ่มใช้นโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณในเดือนมกราคม ปี 2015 ธนาคารตัดสินใจหยุดใช้นโยบายดังกล่าวเมื่อสิ้นปี 2018 แม้ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตช้าลงก็ตาม

สรุป

มีข้อดีและข้อเสียมากมายสำหรับนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ ในด้านหนึ่ง มันก็สนับสนุนเศรษฐกิจที่ชะงักงันและซบเซา อีกด้านหนึ่งก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดค่าเงินที่อ่อนค่าและเกิดฟองสบู่ อย่างไรก็ตาม ผลที่เกิดจากนโยบายนี้สามารถส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนได้

อัปเดทแล้ว • 2023-03-15

บทความอื่นๆ ในส่วนนี้

คำถามที่พบบ่อย

  • จะเริ่มเทรดอย่างไร?

    หากคุณอายุ 18 ปีขึ้นไปคุณสามารถเข้าร่วม FBS ได้และเริ่มต้นการเดินทาง FX ของคุณ ในการซื้อขายคุณจะต้องมีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์และมีความรู้ที่เพียงพอเกี่ยวกับวิธีการทำงานของสินทรัพย์ในตลาดการเงิน เริ่มด้วยการศึกษาขั้นพื้นฐานด้วย สื่อการเรียนรู้ฟรี และ สร้างบัญชี FBS คุณอาจต้องการทดสอบสภาพแวดล้อมด้วยเงินเสมือนจริงผ่านบัญชีทดลอง เมื่อคุณพร้อมเข้าสู่ตลาดจริงแล้ว ก็เริ่มทำการซื้อขายเพื่อที่จะได้ประสบความสำเร็จ  

  • จะเปิดบัญชี FBS ได้อย่างไร?

    คลิกที่ปุ่ม 'เปิดบัญชี' บนเว็บไซต์ของเราแล้วไปที่ Trader Area ก่อนที่คุณจะเริ่มซื้อขายได้ โปรไฟล์ของคุณจะต้องได้รับการยืนยันเสียก่อน ยืนยันอีเมลและเบอร์โทรศัพท์ของคุณ จากนั้นให้ทำการยืนยันตัวตนของคุณ ขั้นตอนนี้จะช่วยรับประกันความปลอดภัยของเงินและตัวตนของคุณ เมื่อคุณผ่านการตรวจสอบทั้งหมดแล้ว ให้ไปที่แพลตฟอร์มการซื้อขายที่ต้องการ แล้วเริ่มซื้อขายได้เลย

  • จะถอนเงินที่ทำได้กับ FBS ได้อย่างไร?

    กระบวนการนี้ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย ไปที่หน้า การถอนเงิน บนเว็บไซต์หรือส่วนการเงินของ FBS Trader Area และเข้าไปที่การถอนเงิน คุณจะได้รับเงินที่ทำได้รับผ่านระบบการชำระเงินเดียวกับที่คุณใช้ในการฝากเงิน ในกรณีที่คุณฝากเงินเข้าบัญชีผ่านหลายวิธี ให้ถอนกำไรของคุณผ่านวิธีเดียวกันในอัตราส่วนตามยอดเงินที่ฝากเข้ามา

ข่าวล่าสุด

โมเมนตัมขาขึ้นของทองคำกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้ เรามีการประเมินว่าให้รอเข้าเทรด SELL XAUUSD ที่ระดับ 2,180 ดอลลาร์ โดยสามารถตั้งจุด TP ได้ที่บริเวณ 2,130 ดอลลาร์ และตั้งจุด SL

NASDAQ มีโอกาสลงต่อได้ ถ้าราคาสามารถเคลื่อนที่ลงไปถึง 17,700 จุด ได้

ก่อนหน้านี้ เรามีการประเมินว่า ให้รอเข้าเทรด BUY NASDAQ (US500) ที่ระดับ 17,200 จุด โดยสามารถตั้งจุด TP ได้ที่บริเวณ 19,300 จุด และตั้งจุด SL

โมเมนตัมขาลงของ S&P 500 มีโอกาสอ่อนแรงได้ ถ้าราคาลงไปที่บริเวณ 5,040 จุด

ก่อนหน้านี้ เรามีการประเมินว่า ให้รอเข้าเทรด BUY S&P 500 (US500) ที่ระดับ 4,850 จุด โดยสามารถตั้งจุด TP ได้ที่บริเวณ 5,200 จุด

ฝากเงินกับระบบการชำระเงินในประเทศของคุณ

ประกาศการเก็บรวบรวมข้อมูล

FBS เก็บรักษาข้อมูลของคุณไว้เพื่อใช้งานเว็บไซต์นี้ เมื่อกดปุ่ม "ยอมรับ" ถือว่าคุณยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว ของเรา

โทรกลับ

 1
 93
 355
 213
 1684
 376
 244
 1264
 672
 1268
 54
 374
 297
 61
 43
 994
 1242
 973
 880
 1246
 375
 32
 501
 229
 1441
 975
 591
 387
 267
 55
 246
 673
 359
 226
 257
 855
 237
 1
 238
 1345
 236
 235
 56
 86
 61
 61
 57
 269
 242
 243
 682
 506
 225
 385
 53
 357
 420
 45
 253
 1767
 1809
 593
 20
 503
 240
 291
 372
 251
 500
 298
 679
 358
 33
 594
 689
 241
 220
 995
 49
 233
 350
 30
 299
 1473
 590
 1671
 502
 224
 245
 592
 509
 39
 504
 852
 36
 354
 91
 62
 98
 964
 353
 44
 972
 39
 1876
 81
 962
 7
 254
 686
 850
 82
 965
 996
 856
 371
 961
 266
 231
 218
 423
 370
 352
 853
 389
 261
 265
 60
 960
 223
 356
 692
 596
 222
 230
 262
 52
 691
 373
 377
 976
 382
 1664
 212
 258
 95
 264
 674
 977
 31
 599
 687
 64
 505
 227
 234
 683
 672
 1670
 47
 968
 92
 680
 970
 507
 675
 595
 51
 63
 64
 48
 351
 1787
 974
 262
 40
 7
 250
 590
 290
 1869
 1758
 590
 508
 1784
 685
 378
 239
 966
 221
 381
 248
 232
 65
 421
 386
 677
 252
 27
 500
 34
 94
 249
 597
 268
 46
 41
 963
 886
 992
 255
 66
 670
 228
 690
 676
 1868
 216
 90
 993
 1649
 688
 256
 380
 971
 44
 1
 1
 598
 998
 678
 58
 84
 1284
 1
 681
 2
 967
 260
 263
00:00
00:00
00:00
01:00
02:00
03:00
04:00
05:00
06:00
07:00
08:00
09:00
10:00
11:00
12:00
13:00
14:00
15:00
16:00
17:00
18:00
19:00
20:00
21:00
22:00
23:00
23:00
23:00
00:00
01:00
02:00
03:00
04:00
05:00
06:00
07:00
08:00
09:00
10:00
11:00
12:00
13:00
14:00
15:00
16:00
17:00
18:00
19:00
20:00
21:00
22:00
23:00

ผู้จัดการของเราจะโทรหาคุณในเร็ว ๆ นี้

เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์

เราได้รับคำร้องของคุณแล้ว

ผู้จัดการของเราจะโทรหาคุณในเร็ว ๆ นี้

คำขอโทรกลับครั้งต่อไปสำหรับหมายเลขโทรศัพท์นี้
จะพร้อมใช้งานใน

หากคุณมีปัญหาเร่งด่วนโปรดติดต่อเราผ่านทาง
สนทนาออนไลน์

เกิดข้อผิดพลาดภายใน กรุณาลองใหม่อีกครั้งในภายหลัง

อย่ามัวเสียเวลา - ติดตามดูว่า NFP ส่งผลกระทบอย่างไร ต่อ USD แล้วทำกำไรเลยสิ!

คุณกำลังใช้เบราว์เซอร์เวอร์ชันเก่ากว่านี้

อัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดหรือลองใช้เพื่อการเทรดที่สะดวกสบายและมีประสิทธิผลยิ่งขึ้น

Safari Chrome Firefox Opera