วิธีการสร้างแผนการซื้อขาย Forex ที่ชนะ
เทรดเดอร์หลายคนเริ่มซื้อขาย Forex ด้วยความหวังที่จะทำกำไรได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย มันเป็นเรื่องจริงที่ตลาด Forex ให้โอกาสมากมายแก่เทรดเดอร์ในการสร้างรายได้จากการเคลื่อนไหวของราคา อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่จะสร้างรายได้ได้อย่างสม่ำเสมอโดยปราศจากการวางแผนอย่างรอบคอบและกลยุทธ์ที่ดี เพราะการตัดสินใจที่หุนหันพลันแล่นและขาดความยับยั้งชั่งใจนั้นอาจทำให้คำสั่งซื้อขายใด ๆ ขาดทุนได้
ในบทความนี้ คุณจะได้ทราบว่าแผนการซื้อขายคืออะไร เหตุใดจึงต้องสร้างมันขึ้นมาก่อนเริ่มซื้อขาย และวิธีสร้างแผนการซื้อขายที่ชนะที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการซื้อขาย Forex ได้อย่างมาก
แผนการซื้อขายคืออะไร?
พูดง่าย ๆ ก็คือ แผนการซื้อขาย Forex คือชุดของกฎและคำแนะนำที่เทรดเดอร์ตั้งขึ้นเองเพื่อทำให้คำสั่งซื้อขายนั้นมีกำไร แผนการซื้อขายโดยเฉลี่ยจะแสดงสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เทรดเดอร์ควรพิจารณาก่อนเปิดตำแหน่งใหม่: ระยะเวลา ขนาดของคำสั่งซื้อขาย การจัดการความเสี่ยง จุดเข้าและจุดออก ซึ่งสามารถเพิ่มกฏทั่วไปเข้าไปได้เช่นกัน เช่น สไตล์การซื้อขายที่เทรดเดอร์ชอบ สินทรัพย์ใดที่พวกเขาต้องการเน้น เป้าหมายผลกำไรสำหรับหนึ่งสัปดาห์หรือหนึ่งเดือน เป็นต้น
สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าแผนการซื้อขายของคุณควรสะท้อนถึงความต้องการและแผนของคุณเอง การนำแผนของคนอื่นมาปรับใช้ในการซื้อขายของคุณอาจก่อให้เกิดผลเสีย เนื่องจากเทรดเดอร์แต่ละรายมีวิธีการ ทรัพยากร และเป้าหมายที่แตกต่างกัน การพัฒนาแผนการซื้อขายใหม่ตั้งแต่เริ่มต้นสามารถช่วยให้คุณประเมินความสามารถทางการเงินของคุณและเข้าใจว่าจังหวะใดที่เหมาะกับระดับความสามารถของคุณ
เหตุใดแผนการซื้อขายจึงมีความสำคัญ
ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา ตลาด Forex ได้ดึงดูดเทรดเดอร์รายใหม่จำนวนมากที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์ในการทำงานกับตลาดการเงิน ด้วยเหตุนี้และตลาดที่ไม่มีข้อจำกัด มันจึงเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับทั้งเทรดเดอร์มือใหม่และเทรดเดอร์ผู้เชี่ยวชาญที่จะสูญเสียความเป็นตัวเองไปตามราคาที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
หากไม่มีการวางแผนที่สอดคล้องกันและไม่เข้าใจว่าเป้าหมายของคุณคืออะไร คุณก็จะเสี่ยงต่อการพลาดโอกาสที่ดีที่สุดในการเปิดหรือปิดคำสั่งซื้อขาย อย่างไรก็ตาม แผนการซื้อขายจะนำโครงสร้างที่จำเป็นอย่างมากมาสู่การซื้อขาย ช่วยให้คุณเข้าใจขีดจำกัดและเป้าหมายของคุณได้ดีขึ้น และทำให้มั่นใจว่า การซื้อขาย Forex นั้นทำกำไรได้ นอกจากนี้ การติดตามกลยุทธ์ที่ชนะและแพ้ก็ถือเป็นวิธีที่ดี มันจะทำให้คุณได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาดและขัดเกลาทักษะของคุณได้ง่ายขึ้น
10 ขั้นตอนในการสร้างแผนการซื้อขายที่ประสบความสำเร็จ
1. ปรับอารมณ์ให้พร้อม
เทรดเดอร์ Forex ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งแต่ละวินาทีสามารถนำหรือพรากโอกาสใหม่ ๆ ได้ เพื่อให้ทันกับราคาที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและสมเหตุสมผล คุณจะต้องโฟกัสไปที่การซื้อขายเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม หากคุณรู้สึกว่าคุณนอนหลับไม่เพียงพอหรือไม่มีสมาธิในการจดจ่อกับงานงานหนึ่ง การซื้อขายในสภาวะนี้อาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี เมื่อคุณไม่มีสมาธิ คุณจะเสี่ยงต่อการพลาดโอกาสในการซื้อขาย ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการสูญเสียทางการเงิน
สิ่งสำคัญคือต้องควบคุมอารมณ์ของคุณเอาไว้ในขณะที่คุณทำการซื้อขาย การยึดติดกับตำแหน่งที่เปิดอยู่แม้ว่าสัญญาณทั้งหมดจะบอกให้คุณปล่อยวาง การตัดสินใจที่ไร้เหตุผลจากความโกรธหรือความสิ้นหวังนั้นไม่เพียงแต่ส่งผลเสียต่อสภาพจิตใจของคุณเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียถึงกระเป๋าเงินของคุณด้วย
เทรดเดอร์หลายคนฝึกฝนสติและการทำสมาธิเพื่อเข้าสู่กรอบความคิดในการซื้อขายและกำจัดสิ่งรบกวน บางคนก็สวดมนต์กับตลาด แถมยังทำซ้ำอีกก่อนที่จะเริ่มซื้อขาย ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ช่วยให้คุณมีสมาธิได้ สิ่งสำคัญคือคุณต้องรู้ทันเมื่อสมาธิของคุณหลุดออกไป แล้วค่อยกลับไปทำการซื้อขายในตอนที่คุณรู้สึกดีขึ้น การรู้เรื่องจิตวิทยาการซื้อขายสามารถช่วยให้คุณรู้จักรูปแบบความคิดที่เป็นอันตรายและดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อรักษาเงินทุนของคุณให้ปลอดภัยจากการกระทำที่ผลีผลาม
2. มองหาโอกาส
ในแง่หนึ่ง การซื้อขายในตลาดที่ผันผวนและคาดเดาไม่ได้อาจเป็นเรื่องยากและมีความเสี่ยง หากคุณไม่มีประสบการณ์ในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงที่เกินคาดของราคา ในทางกลับกัน หากตลาดไม่ค่อยเคลื่อนไหว มันก็ยากที่จะหาโอกาสในการซื้อขายที่ดีที่สามารถสร้างผลกำไรที่จับต้องได้ให้กับคุณ นั่นคือเหตุผลที่คุณต้องตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของการเงินในปัจจุบัน เพราะมันอาจมีอิทธิพลต่อตลาดและสามารถสร้างหรือพรากโอกาสในการซื้อขายได้
ในการทำเช่นนี้ คุณควรติดตามเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของสินทรัพย์ที่คุณสนใจ นอกจากนี้ คุณยังอาจต้องการตรวจสอบ ปฏิทินเศรษฐกิจ FBS สำหรับการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจหรือผลประกอบการ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาด การรู้ว่าเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งได้เกิดขึ้นก่อนที่คนทั่วไปจะทราบนั้นจะสามารถช่วยให้คุณวิเคราะห์ความน่าจะเป็นได้อย่างรวดเร็วและเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่อาจเกิดขึ้น และวางแผนการซื้อขายของคุณตามนั้น
3. ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค
หากคุณจบหลักสูตรสำหรับมือใหม่ไปแล้ว คุณรู้อยู่แล้วว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นเป็นส่วนสำคัญของการซื้อขาย เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคจะใช้ข้อมูลทางสถิติที่รวบรวมได้จากกิจกรรมการซื้อขายและราคาในอดีตเพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต เทรดเดอร์จะใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อตรวจสอบระดับของอุปสงค์และอุปทานของตลาด ซึ่งอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณของสินทรัพย์ที่ซื้อขาย ตลอดจนทำให้เกิดความผันผวนของตลาด
ปัจจุบัน หลายแพลตฟอร์มการซื้อขายต่างก็นำเสนอเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่หลากหลาย: โปรแกรมจำแนกรูปแบบกราฟ ออสซิลเลเตอร์ ปริมาณ โมเมนตัม และตัวบ่งชี้ค่าเฉลี่ยการเคลื่อนที่ เป็นต้น การใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อตรวจหารูปแบบกราฟที่แตกต่างกัน วาดเส้นแนวรับและแนวต้านบนกราฟ ระบุทิศทางของแนวโน้มจะสามารถช่วยให้คุณวางแผนการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปได้ดีขึ้น และค้นหาจุดเข้าและออกได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
4. เลือกสไตล์การซื้อขายของคุณเอง
ก่อนที่จะดำดิ่งและเปิดคำสั่งซื้อขายแรกของคุณ คุณควรตัดสินใจว่าสไตล์การซื้อขายที่คุณต้องการใช้คืออะไร อย่างน้อย ๆ ก็ใช้เป็นการชั่วคราว รูปแบบที่คุณเลือกจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาและเงินที่คุณสามารถลงทุนได้ในการซื้อขาย โดยทั่วไปแล้ว เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะยึดติดกับการซื้อขายแบบรายวัน การซื้อขายแบบ Swing หรือการซื้อขายแบบ Position
- การซื้อขายแบบรายวัน จะเกี่ยวข้องกับการซื้อและขายสินทรัพย์ภายในหนึ่งวัน เทรดเดอร์รายวันมักจะเปิดตำแหน่งไว้สองสามชั่วโมง แต่บางครั้งก็สั้นเพียง 10-20 นาที เทรดเดอร์รายวันจะพยายามทำกำไรจากความผันผวนอย่างรวดเร็วของราคา และอาจถือสูงสุดถึง 30 ตำแหน่งหรือมากกว่านั้นในคราวเดียว
- เทรดเดอร์แบบ Swing มีเป้าหมายในการทำเงินจากการแกว่งตัวของราคา การซื้อขายแบบ Swing ถือเป็นรูปแบบการซื้อขายระยะกลาง เนื่องจากเทรดเดอร์แบบ Swing นั้นสามารถถือตำแหน่งเปิดเอาไว้ได้ครั้งละหลายวัน
- การซื้อขายแบบ Position เป็นรูปแบบการซื้อขายระยะยาวที่เกี่ยวข้องกับการถือครองตำแหน่งเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี เทรดเดอร์ Position จะพยายามทำนายแนวโน้มพื้นฐานของตลาด และทำกำไรจากการเคลื่อนไหวในระยะยาวของราคา นอกจากนี้ การซื้อขายแบบ Position ยังต้องใช้เงินทุนจำนวนมากเพื่อเอาชนะการแกว่งตัวจำนวนมากที่อาจเกิดขึ้น
อย่างที่คุณเห็น สไตล์การซื้อขายแต่ละแบบต้องการความสนใจจากเทรดเดอร์ไม่เท่ากัน เทรดเดอร์รายวันจำเป็นต้องติดตามกราฟอย่างต่อเนื่องเพื่อคว้าโอกาสในการทำกำไรมากขึ้น ในขณะที่เทรดเดอร์ Position ไม่จำเป็นต้องมาคอยตรวจสอบตำแหน่งของพวกเขาทุกวัน
นอกจากนี้ ยังเป็นไปได้ที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการซื้อขายของคุณให้เหมาะกับสภาวะตลาดในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น หากตลาดกำลังวิ่งเป็นแนวโน้ม คุณควรยึดมั่นในการซื้อขายแบบ Swing แล้วจับการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของตลาด แต่ถ้าตลาดเคลื่อนไหวในกรอบที่จำกัด การซื้อขายแบบรายวันจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าและช่วยให้คุณทำเงินได้จากการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยของราคา
5. เลือกจำนวนเงินที่คุณจะใช้ในการซื้อขาย
การใส่ทุนการซื้อขายทั้งหมดของคุณลงในตำแหน่งเดียวอาจทำให้คุณได้รับเงินมากขึ้น แต่ก็อาจทำให้คุณสูญเสียเงินในบัญชีซื้อขายทั้งหมดไปได้เช่นกัน นั่นเป็นเหตุผลที่การใช้ทุนเพียงบางส่วนในหนึ่งคำสั่งซื้อขายนั้นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ด้วยวิธีนี้คุณจะไม่สูญเสียเงินทั้งหมดไปหากมีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้น
จำนวนเงินทุนที่คุณใช้ในหนึ่งคำสั่งซื้อขายนั้นจะขึ้นอยู่กับการยอมรับความเสี่ยงและสไตล์การซื้อขายของคุณ หากคุณเป็นเทรดเดอร์ Position และหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนสูงหลังจากระยะเวลาอันยาวนาน การเลือกใช้ทุนขนาดใหญ่ขึ้นในการซื้อขายอาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ในทางกลับกัน การใช้เงินจำนวนมากไปกับคำสั่งซื้อขายหนึ่งชั่วโมงในช่วงที่ตลาดผันผวนนั้นมีความเสี่ยงมากกว่า ดังนั้นจะดีกว่าไหมถ้าคุณกระจายเงินจำนวนนี้ไปในหลาย ๆ คำสั่งซื้อขาย
โดยทั่วไป ปริมาณความเสี่ยงที่จัดสรรให้กับหนึ่งคำสั่งซื้อขายควรอยู่ที่ประมาณ 1–5% ของทุนการซื้อขายของคุณ วิธีนี้คุณจะไม่สูญเสียเงินทั้งบัญชีหากคำสั่งซื้อขายนั้นไม่ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องเผชิญกับการขาดทุนหลายครั้ง คุณควรหยุดพักแล้วค่อยกลับมาซื้อขายใหม่ในวันอื่น เนื่องจากอารมณ์ของคุณอาจบ่อนทำลายอีกหลายคำสั่งซื้อขายต่อไปของคุณได้
6. ระบุจุดเข้าและจุดออก
ขั้นตอนสำคัญต่อไปคือการหาโอกาสที่ดีที่สุดในการเปิดและปิดคำสั่งซื้อขาย ตรงกันข้ามกับความเชื่อที่เป็นที่นิยม ที่จริงแล้ว การกำหนดจุดปิดก่อนจุดเปิดคำสั่งซื้อขายนั้นมีความสำคัญมากกว่า เทรดเดอร์หลายคนต่างพยายามอย่างเต็มที่ในการเปิดตำแหน่งโดยไม่ได้พิจารณาให้ดีก่อนว่ามีโอกาสที่จะปิดตำแหน่งนี้ได้หรือไม่ นั่นคือเหตุผลที่คุณควรมองหาจุดออกก่อนที่จะรับสัญญาณซื้อ
หากคุณเห็นจุดเปิดคำสั่งซื้อขายที่เป็นไปได้ ให้หาว่าคุณสามารถวางเป้าหมายกำไรได้ตรงไหน เทรดเดอร์บางคนจะวางแผนออกเมื่อราคาไปถึงตัวเลขกลม ๆ (เช่น $50) หรือเพิ่มขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เป็นตัวเลขจำนวนเต็ม (เช่น 15%) แต่คุณควรรักษาความทะเยอทะยานของคุณให้อยู่ในขอบเขตที่มีเหตุผลเสมอ การตั้งค่าจุดออกสูงเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อตำแหน่งของคุณ และขัดขวางไม่ให้คุณรับกำไรในจำนวนน้อยที่สามารถเป็นไปได้จริงมากกว่าได้
การตั้งกฎการเข้านั้นทำได้ง่ายกว่ามาก คุณต้องมองหาสัญญาณและตรวจสอบว่ามีเป้าหมายกำไรขั้นต่ำอยู่ในช่วงปัจจุบันหรือไม่ หากตรงตามเงื่อนไขที่คุณตั้งไว้สำหรับการซื้อขาย คุณสามารถเปิดตำแหน่งได้ อย่างไรก็ตาม พยายามอย่าทำให้กฎการเข้าของคุณมีความซับซ้อนจนเกินไป การมองหาโอกาสคงเป็นเรื่องยาก หากคุณมีเงื่อนไขมากมายที่ต้องปฏิบัติตามก่อนที่จะเปิดคำสั่งซื้อขาย มันเป็นไปได้ที่จะตั้งกฎการเข้าซึ่งไม่สามารถต่อรองได้ที่ไม่จำกัดโอกาสในการซื้อขายของคุณ ดังนั้นจงเลือกสัญญาณการเข้าของคุณอย่างชาญฉลาด
7. จัดการความเสี่ยงของคุณ
เมื่อคุณพบจุดเข้าและออกแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องป้องกันตัวเองจากการเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิดของราคา มีเครื่องมือการจัดการความเสี่ยงอยู่มากมายที่พร้อมให้เทรดเดอร์ใช้งาน แต่สิ่งที่พื้นฐานที่สุดที่คุณสามารถทำได้คือวางคำสั่ง Stop คำสั่งเหล่านี้จะถูกดำเนินการเมื่อราคาแตะถึงระดับที่กำหนด และป้องกันไม่ให้เคลื่อนที่ผ่านจุดที่กำหนด สิ่งนี้ทำให้คุณสามารถจำกัดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นได้ คุณยังสามารถใช้คำสั่ง Take Profit หรือคำสั่ง Limit ในขณะที่วางแผนการออกของคุณเพื่อปิดตำแหน่งโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องดำเนินการด้วยตนเอง
กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงอีกอย่างที่คุณควรใช้คือการกระจายความเสี่ยง หากคุณมุ่งเน้นที่การซื้อขาย Forex เป็นการดีที่สุดที่จะเปิดตำแหน่งในหลาย ๆ คู่สกุลเงิน ด้วยวิธีนี้ หากตลาดหนึ่งประสบกับการลดลงอย่างกะทันหัน ตลาดอื่น ๆ ที่มีการเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่งจะสามารถช่วยชดเชยการขาดทุนของคุณได้
8. จดบันทึกคำสั่งซื้อขายของคุณ
การจดบันทึกการซื้อขายของคุณเป็นนิสัยที่มีประโยชน์มาก และแม้แต่เทรดเดอร์มืออาชีพที่มีประสบการณ์หลายปีหรือหลายสิบปีก็ยังทำเช่นกัน คุณต้องจดทุกรายละเอียดที่สำคัญเกี่ยวกับคำสั่งซื้อขายของคุณ ซึ่งประกอบด้วย จุดเข้าและออก ช่วงเวลา ระดับแนวรับและแนวต้าน และราคาเปิดและราคาปิดรายวันของตลาด ข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณได้รับข้อมูลเชิงลึกว่าอะไรที่จะสนับสนุนคำสั่งซื้อขายที่ประสบความสำเร็จหรือไม่สำเร็จของคุณ การทำความเข้าใจปัจจัยและสถานการณ์ทั้งหมดเกี่ยวกับการซื้อขายของคุณนั้นมีประโยชน์ในการพัฒนากลยุทธ์การซื้อขายและทักษะของคุณ
9. วิเคราะห์ผลกำไรและผลขาดทุนของคุณ
สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าคุณได้รับหรือสูญเสียเงินไปเท่าไรในระหว่างการซื้อขาย มันเป็นเรื่องจริงที่การจมปลักอยู่กับเรื่องการเงินในการซื้อขายอาจเป็นอันตรายต่อคำสั่งซื้อขายในอนาคตของคุณ แต่ท้ายที่สุดแล้ว การซื้อขายนั้นเป็นธุรกิจ และเงินก็เป็นเรื่องที่สำคัญเสมอเมื่อพูดถึงความสำเร็จทางธุรกิจ ดังนั้น การวิเคราะห์กำไรสุทธิของคุณจึงเป็นวิธีที่ดีในการทำความเข้าใจว่าแผนการซื้อขายปัจจุบันของคุณใช้การได้หรือไม่ หรือคุณจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการซื้อขายของคุณ
10. ไม่หยุดพัฒนาตัวเอง
น่าเสียดายที่ไม่มีแผนการซื้อขาย Forex ใดที่เหมาะกับการซื้อขายทุกประเภท บางครั้งแผนแรกของคุณก็ไม่เป็นไปตามที่คุณคิด ในบางครั้ง มันอาจใช้งานได้ในตอนแรก แต่หลังจากนั้นก็หยุดให้ผลลัพธ์เดิมที่เคยได้ นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้สูงที่ความต้องการและเป้าหมายในการซื้อขายของคุณอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังนั้นคุณจะต้องพัฒนาแผนการซื้อขายใหม่โดยคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ การซื้อขายต้องมีการเติบโตและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง คุณอาจใช้แผนการซื้อขายที่ประสบความสำเร็จในอดีตของคุณเป็นรากฐานสำหรับแผนการใหม่ได้ แต่คุณควรพยายามค้นหาวิธีแก้ปัญหาใหม่ ๆ อยู่เสมอเพื่อทำให้มันดียิ่งขึ้น
สรุป
โลกของการซื้อขาย Forex หมุนไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะหลงไปกับราคาที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและอารมณ์ของคุณเอง วิธีที่ดีที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่าการซื้อขายนั้นประสบความสำเร็จคือการรวบรวมแผนการซื้อขายที่จะติดตามทุกสิ่งที่คุณในฐานะเทรดเดอร์ต้องให้ความสนใจก่อนที่จะเปิดคำสั่งซื้อขายใหม่ แผนการซื้อขายที่ดีสามารถช่วยนำทางคุณผ่านสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของตลาด Forex ได้ ทำให้คุณมีสมาธิจดจ่อและมีเหตุผล และพัฒนาทักษะการซื้อขายของคุณได้เร็วกว่าการซื้อขายโดยไม่มีแผน