ตลาดกระทิงและตลาดหมีคืออะไร แตกต่างกันยังไง?
ตลาดกระทิง
กระทิงจะขวิดคู่ต่อสู้แล้วยกเขาของมันขึ้น นักลงทุน ที่เรียกว่า "กระทิง" ก็ทำเช่นเดียวกัน - พวกเขาทำเงินจากราคาสินทรัพย์ที่สูงขึ้น ดังนั้นช่วงเวลาในตลาดที่นักลงทุนส่วนใหญ่มีพฤติกรรมเช่นนี้จะถูกเรียกว่า "ตลาด กระทิง" ในขณะที่ตลาดกระทิง มีความต้องการสินทรัพย์สูง, ทุกคนต้องการซื้ออะไรบางอย่าง, แล้วราคาก็ปรับตัวสูงขึ้น เมื่อถึงจุดหนึ่ง นักลงทุนเริ่มเชื่อว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นตลอดไป จากนั้นการเติมเต็มคำทำนายก็เกิดขึ้น: มูลค่าของสินทรัพย์ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะความสำเร็จของธุรกิจ แต่เป็นเพราะศรัทธาของนักลงทุนว่ามันจะเติบโตต่อไปอีก
มี 12 ช่วงเวลาดังกล่าวในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง สิ่งสุดท้ายกำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ก็คือเศรษฐกิจโลกส่วนใหญ่เติบโตอย่างแข็งแกร่งตั้งแต่วิกฤตการเงินในปี 2007-2009 และแม้แต่การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาก็ไม่อาจหยุดตลาดกระทิงนี้ได้ มันเกิดขึ้นยาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์
ตลาดหมี
ตลาด หมี เป็นช่วงเวลาที่ราคาสินทรัพย์ร่วงลงเป็นเวลานาน มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่มีการขนานามมันว่าหมี: สัตว์จำพวกนี้ชอบทำให้เหยื่อล้มลงแล้วฉีกเป็นชิ้นๆระหว่างการโจมตี "หมี" คือนักลงทุนที่ทำเงินจากราคาที่ร่วงลง
ไม่มีคำจำกัดความที่ชัดเจนว่ามูลค่าของสินทรัพย์ควรลดลงไปถึงเท่าไหร่เพื่อให้ตลาดหมีเริ่มต้นขึ้น โดยปกติ นักลงทุนเชื่อว่าเป็นตลาดหมีในตอนที่ราคาร่วงลงอย่างน้อย 20% เมื่อเทียบกับจุดสูงสุดที่ใกล้ที่สุด และกระบวนการนี้ดำเนินต่อไปนานกว่าสองเดือน
น่าเสียดายที่วิกฤตการณ์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในวัฏจักรเศรษฐกิจ ไม่มีเหตุผลสากลสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้อาจเป็น "ฟองสบู่" ของตลาด, ปัญหาทางการเมืองและการทหาร, การชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจ, และอื่นๆ การร่วงลงมักจะถูกทำให้รุนแรงขึ้นโดยตัวนักลงทุนเองที่ตอนแรกก็เชื่อว่าจะสำเร็จแต่สุดท้ายก็ตื่นตระหนก ส่งผลให้มีการเทขายสินทรัพย์, ความผันผวนเพิ่มสูงขึ้น, และราคาร่วงลง
ความแตกต่างระหว่างตลาดกระทิงและตลาดหมีคืออะไร?
การไหลของเงินทุน
เงินทุนไหลจากสินทรัพย์ปลอดภัยไปยังสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดกระทิงในตอนที่ เทรดเดอร์และนักลงทุนอยากเพิ่มความมั่งคั่งของตน ในทางกลับกัน นักลงทุนจะพยายามปกป้องเงินทุนของพวกเขาในช่วงที่ตลาดหมี ส่งผลให้พวกเขาต้องทิ้งสินทรัพย์เสี่ยงแล้วโอนเงินของพวกเขาไปยังสินทรัพย์ปลอดภัย
อัตราดอกเบี้ย
อัตราดอกเบี้ยต่ำมักมาพร้อมกับตลาดกระทิง มันเกิดขึ้นเพราะอัตราดอกเบี้ยต่ำทำให้สินเชื่อมีราคาไม่แพงมากสำหรับธุรกิจและนักลงทุนรายย่อย ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจจึงสามารถเติบโตได้ และนักลงทุนรายย่อยสามารถซื้อหุ้นของบริษัทต่างๆ และผลักดันราคาให้สูงขึ้นได้
ประสิทธิภาพของ GDP
อัตราการเติบโตของ GDP ที่สูงมักจะมาพร้อมกับตลาดกระทิง ในขณะที่ตลาดหมีมีความสัมพันธ์กับอัตราการเติบโตที่ต่ำ อัตราการเติบโตของ GDP จะเร่งตัวขึ้นเมื่อผลการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้น และพนักงานได้รับเงินเดือนที่สูงขึ้น ทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น
ในทางตรงกันข้าม เมื่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง บริษัทต่างๆจะได้รับรายได้น้อยลง นักลงทุนก็จะเทขายหุ้น แล้วตลาดหุ้นก็จะประสบปัญหา
จะทำอย่างไรเมื่อตลาดเป็นกระทิง?
นักลงทุนจะมีคำพูดติดปาก: "ใครๆก็เป็นอัจฉริยะในตลาดที่กำลังเติบโต" มันจริงบางส่วนเพราะการกำไรเป็นเรื่องง่ายในตอนที่สินทรัพย์ส่วนใหญ่เติบโตขึ้น อย่างไรก็ตาม มีการแข่งขันกันเพื่อให้ได้ขนาด 10 หรือ 30% ต่อปี
อย่างไรก็ตาม อย่าลืมเรื่องความผันผวน ตลาดสามารถผันผวนได้ และเป็นการยากที่จะคาดเดาว่าจุดต่ำสุดของราคาอยู่ตรงไหนและราคาสูงสุดจะอยู่ตรงไหน เทรดเดอร์อาจลองเสี่ยงและพยายามคว้ารางวัลแจ็คพอต หรือคุณอาจทำกำไรไปแบบช้าๆ พิจารณาจากระดับความเสี่ยงและความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้น ก็จะมีสองสามกลยุทธ์ที่สามารถใช้ได้
ซื้อแล้วถือ
เป็นกลยุทธ์ที่คลาสสิกและใครๆก็ฝช้งานได้ ความหมายก็ตรงตัวเลย อ่านการวิเคราะห์, ดูตัวชี้วัด, เลือกบริษัทที่คู่ควรและมั่นคง, ซื้อหุ้น, แล้วเก็บไว้ในพอร์ตจนกว่าจะถึงเป้าหมายไม่ว่าในภายหลังจะเกิดอะไรขึ้นในตลาดก็ตาม
ตัวเลือกนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่ไม่ต้องการทำกำไรในเร็วๆนี้ หรือใช้ชีวิตเพื่อการลงทุนเท่านั้น กลยุทธ์นี้จะยังคงใช้ได้ผลดีในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอีกทศวรรษข้างหน้า
ตัวอย่างเช่น Warren Buffett ที่เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ได้ซื้อหุ้น Coca-Cola ในปี 1988 และยังคงถือหุ้นอยู่ เป็นเวลา 33 ปี ที่การลงทุนได้สร้างผลกำไร 1553% ไม่รวมเงินปันผล
ซื้อตอนปรับฐาน
ไม่ว่าตลาดจะเร่งรีบแค่ไหน การปรับฐานย่อมเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การปรับฐานจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ราคาสินทรัพย์ลดลงสองสามเปอร์เซ็นต์ และบางครั้งอาจลดลง 15-20% โดยปกติราคาจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แต่นักลงทุนบางคนก็รอแล้วเข้าซื้อสินทรัพย์ในช่วงเวลาดังกล่าวอย่างแม่นยำเพราะจะได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น
ใช้เลเวอเรจ
เทรดเดอร์, ผู้เข้าร่วมระดับมืออาชีพในตลาดหุ้น ต่างก็ใช้กลยุทธ์นี้ ประเด็นคือในการลงทุนไม่เพียงแต่ใช้เงินของคุณเองเท่านั้น แต่คุณยังสามารถยืมเงินจากโบรกเกอร์ได้อีกด้วย มันเป็นวิธีที่เสี่ยง เทรดเดอร์ไว้ใจได้ว่าหุ้นจะโตขึ้น 10-15% แล้วจากนั้นมันจะเติบโตเพียง 2% มันยังคงเป็นการซื้อขายที่ได้กำไร แต่ก็มีอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่ไม่ดี การซื้อ พันธบัตร จะง่ายกว่าหากต้องการได้ผลลัพธ์เดียวกัน
ควรทำอย่างไรดัในตลาดหมี?
อย่าตื่นตระหนกและห้ามขายทรัพย์สิน
"ตลาดหมี" ไม่ได้เป็นนิรันดร์ วันหนึ่งเศรษฐกิจจะเริ่มเติบโตอีกครั้ง และมูลค่าของสินทรัพย์ก็จะกลับคืนมา ดังนั้นจะดีกว่าที่จะไม่ขายการลงทุนดีๆไปเปล่าๆ
การสูญเสียบนกราฟและเอกสารโบรกเกอร์นั้นเป็นแค่ "กระดาษ" ไม่ใช่ของจริง ความสูญเสียที่แท้จริงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อนักลงทุนขายสินทรัพย์และเห็นเงินในบัญชีน้อยกว่าที่ลงทุน ก่อนหน้านี้ไม่เตยมีการสูญเสีย
นอกจากนี้ การเทขายออกอาจทำให้ตลาดตกต่ำเป็นเวลานาน ตัวอย่างเช่น ในช่วงวิกฤตปี 2008 ดัชนีได้แตะระดับต่ำสุดเฉพาะในวันที่ 9 มีนาคม 2009 มากกว่าหนึ่งปีหลังจากการเริ่มต้นของภาวะถดถอย ดังนั้นอย่าตามนักลงทุนขี้ขลาดคนอื่นแล้วรีบขายทรัพย์สิน
แกล้งทำเป็นว่ามีการขายอยู่รอบๆ
กำไรเพิ่มเติมใน "ตลาดหมี" นั้นเป็นไปได้มากๆ ดังนั้นคุณต้องเลือกการลงทุนอย่างรอบคอบ หากนักลงทุนรู้ว่าเขา/เธอต้องการอะไร, เห็นบริษัทที่มีแนวโน้มทำกำไร, และคาดหวังผลกำไรไม่ใช่ในวันนี้แต่เป็นในอนาคต, จากนั้นตลาดหมีทุกแห่งก็เป็นของขวัญ มันเป็นโอกาสในการลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพสูงในราคาที่ถูกกว่า มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ Warren Buffett แนะนำว่า: "จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว"
ในเวลาเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงจุดต่ำสุดของ "ตลาดหมี" เพราะไม่มีใครรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
ไม่ควรเดาแต่ควรเลือกเทคนิคการปรับขนาดคำสั่งซื้อ หากไม่คำนึงถึงราคาแล้ว คุณควรลงทุนในบริษัทที่เหมาะสมกับเป้าหมายของคุณ มันไม่ได้ทำกำไรได้เท่ากับการเดาจุดต่ำสุดและจุดสูงสุดของราคา แต่มันเป็นเรื่องจริงมากกว่า
สรุป
ทั้งตลาดกระทิงและตลาดหมีต่างก็ให้โอกาสจำนวนมากในการทำกำไรแก่เทรดเดอร์ แต่หากต้องการใช้มันอย่างถูกต้อง เทรดเดอร์ต้องรู้ว่าพวกเขากำลังซื้อขายอยู่ในตลาดใด
"อืม นี่คือตลาดกระทิง คุณรู้ใช่มั้ย" - Edwin Lefèvre, "บันทึกความจำของผู้ค้าหุ้น"
ใบเสนอราคานี้มาจากหนังสือที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเล่มหนึ่งเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้น นั่นหมายความว่าเทรดเดอร์ควรติดตามแนวโน้มทั่วโลกและมองหาการเปิด long ในตลาดกระทิง และเทรดเดอร์ที่มองหาการเปิด short ก็อยู่ที่ตลาดหมี
ในทางกลับกัน นักลงทุนระยะยาวจะรวบรวมตำแหน่งในตลาดหมีและทำกำไรจากตลาดกระทิงเมื่อราคาใกล้ระดับสูงสุด
หลายเครื่องมืออาจช่วยเทรดเดอร์กำหนดแนวโน้มได้ เครื่องมืออันหนึ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดคือRSI oscillator
โชคดีที่ FBS traders สามารถเปิดการซื้อขายได้ทั้งสองฝั่งโดยไม่ต้องคำนึงถึงพฤติกรรมของตลาด