FBS ก้าวเข้าสู่ปีที่ 16

ปลดล็อกของรางวัลวันเกิด: ตั้งแต่แก็ดเจ็ตและรถในฝันไปจนถึงทริป VIPเรียนรู้เพิ่มเติม

29 เม.ย. 2025

พื้นฐาน

ประเภทของกองทุนการลงทุน: เลือกให้เหมาะกับตัวเอง

คุณดูอะไรบ้างเวลาเลือกกองทุน? และกองทุนประเภทใดที่เหมาะกับคุณ? ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกความแตกต่างของกองทุนแต่ละประเภท พร้อมไขข้อสงสัยว่าควรลงทุนแบบไหนถึงตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงินของคุณได้ดีที่สุด

ประเภทของกองทุนการลงทุน: เลือกให้เหมาะกับตัวเอง

กองทุนการลงทุนคืออะไร?

ลองนึกภาพตะกร้าใหญ่ที่บรรจุสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น หุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ ซึ่งรวมเงินลงทุนจากนักลงทุนหลายคน (ทั้งบุคคลและบริษัท) ไว้ด้วยกัน นี่คือกองทุนการลงทุน — เครื่องมือทางการเงินที่กระจายความเสี่ยงและบริหารโดยมืออาชีพ มันเหมือนการเดินทางแบบกลุ่มที่ทุกคนช่วยกันจ่ายค่าน้ำมัน และมีคนขับมือฉมัง (ผู้จัดการกองทุน) คอยพาทุกคนไปถึงจุดหมายที่ทำกำไรได้ กองทุนการลงทุนเป็นเครื่องมือชั้นดีที่ช่วยกระจายความเสี่ยงและเปิดโอกาสให้ได้ผลตอบแทนที่อาจสูงกว่าการลงทุนแบบตรง ๆ ในตลาดการเงินสมัยใหม่ กองทุนให้ทั้งสภาพคล่อง ความหลากหลาย การบริหารโดยผู้เชี่ยวชาญ และโอกาสเข้าถึงตลาดต่างประเทศ

สรุปสั้น ๆ ถึงเหตุผลที่ควรใช้กองทุนการลงทุน

  • ไม่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญก็ลงทุนได้ — เพราะมีมืออาชีพจัดการให้ตามเป้าหมายกองทุน ไม่ว่าจะเป็นการเติบโต รายได้ หรือกลยุทธ์เฉพาะทาง

  • เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินน้อย ๆ ได้

  • ความเสี่ยงถูกกระจายไปยังการลงทุนหลายประเภท ทำให้ปลอดภัยกว่าการลงทุนทั้งหมดในสินทรัพย์เดียว

การเทรดมีความปลอดภัยกับ FBS ลองเลย!

ประเภทหลัก ๆ ของกองทุนการลงทุน

กองทุนรวม (Mutual Funds)

กองทุนรวมเป็นการรวบรวมเงินจากนักลงทุนหลาย ๆ คน เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่กระจายความเสี่ยงไปยัง หุ้น พันธบัตร หรือหลักทรัพย์อื่น ๆ โดยมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพคอยดูแลและปรับพอร์ตให้ทันสมัยอยู่เสมอ กองทุนรวมส่วนใหญ่เป็น กองทุนแบบเปิด (Open-end Funds) ซึ่งจะออกหน่วยลงทุนใหม่เมื่อมีคนสนใจลงทุนเพิ่ม และจะซื้อคืนหน่วยลงทุนเมื่อมีคนถอนเงินออก ส่วนราคาต่อหน่วยจะผูกกับมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ณ สิ้นวันทำการแต่ละวัน ตัวอย่างเช่น Vanguard 500 Index Fund (VFIAX) ซึ่งเป็นกองทุนรวมยอดนิยมที่ติดตามดัชนี S&P 500 นักลงทุนสามารถซื้อหรือขายหน่วยลงทุนได้โดยตรงกับกองทุน (หรือผ่านโบรกเกอร์) ในราคา NAV ประจำวัน โดยไม่ต้องซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์

กองทุนรวมเหมาะสำหรับการกระจายความเสี่ยงและพอร์ตการลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ ซึ่งได้รับความนิยมในหมู่ผู้ถือครองระยะยาว แต่มันมีค่าธรรมเนียมการจัดการ (สัดส่วนค่าใช้จ่าย) ที่อาจแตกต่างกันในแต่ละกองทุนรวม

มีกองทุนรวมหลายประเภทที่มุ่งเน้นไปที่สินทรัพย์ที่แตกต่างกัน:

  • กองทุนรวมตราสารทุน (ลงทุนในหุ้น)

  • กองทุนรวมตราสารหนี้ (ลงทุนในตราสารหนี้)

  • กองทุนรวมตลาดเงิน

  • กองทุนรวมผสมที่รวมสินทรัพย์

กองทุนดัชนี (Index Funds)

กองทุนดัชนีคือกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อ ติดตามผลตอบแทนของดัชนีตลาด (เช่น S&P 500) แทนที่จะพยายามเอาชนะดัชนีนั้น แนวคิดคือการรวบรวมเงินจากนักลงทุนหลายรายและสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีความคล้ายคลึงกับรูปแบบของดัชนีเป้าหมายเพื่อให้ตรงกับประสิทธิภาพของมัน

นี่เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมหากคุณต้องการตัวเลือกการลงทุนแบบพาสซีฟที่ดูแลง่าย — กองทุนนี้ถือหุ้น (หรือหลักทรัพย์อื่น ๆ) ในสัดส่วนเดียวกันกับดัชนี และมักมีค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการดำเนินงานที่ต่ำมาก ต้องการการตัดสินใจน้อยมาก — เหมือนมีระบบบินอัตโนมัติ

ด้วยกองทุนดัชนี (index fund) คุณจะสามารถจำลองการลงทุนในดัชนีทุกประเภทได้ ไม่ว่าจะเป็นดัชนีตลาดหุ้นรวม ดัชนีตราสารหนี้ ดัชนีตลาดต่างประเทศ หรือแม้แต่ดัชนีเฉพาะกลุ่มที่เน้นภาคธุรกิจหรือปัจจัยเฉพาะ คุณจะได้การลงทุนที่กระจายความเสี่ยงและมีต้นทุนต่ำ ซึ่งจะขึ้นหรือลงตามกลุ่มตลาดที่มันเลียนแบบ ตัวอย่างเช่น กองทุนดัชนี S&P 500 จะให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี S&P 500 ตัวจริงทุกประการ (ก่อนหักค่าธรรมเนียม)

กองทุนรวมดัชนี

mage_1.jpg

กองทุน ETF ที่มีผลตอบแทนดีที่สุด ณ วันที่ 1 เมษายน 2025

กองทุนรวมดัชนี หรือ ETF คือพอร์ตการลงทุนที่ออกแบบมาเพื่อติดตามผลตอบแทนของดัชนีตลาด ภาคอุตสาหกรรม สินค้าโภคภัณฑ์ หรือรูปแบบการลงทุนต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น SPDR S&P 500 ETF (SPY) เป็นหนึ่งใน ETF ยอดนิยมที่ติดตามดัชนี S&P 500 โดยลักษณะการซื้อขาย ETF จะคล้ายกับหุ้นทั่วไป คือสามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ และราคาจะเปลี่ยนแปลงตลอดวันตามอุปสงค์และอุปทาน ETF ส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาเพื่อติดตามดัชนีอ้างอิงแบบไม่ต้องบริหารจัดการ แต่ก็มีบางกองทุนที่ถูกจัดการอย่างต่อเนื่องโดยผู้จัดการกองทุน

ETF มักมีอัตราค่าใช้จ่ายต่ำกว่ากองทุนรวมและมีประสิทธิภาพด้านภาษีที่ดีกว่า ETF เป็นตัวเลือกที่ดีหากคุณต้องการความยืดหยุ่นและสภาพคล่อง: คุณสามารถซื้อหรือขายหน่วยลงทุนผ่านโบรกเกอร์ได้ตลอดเวลาที่ตลาดเปิด

ความแตกต่างระหว่างกองทุนดัชนีและ ETF คือกองทุนดัชนีมีราคาซื้อและขายเท่ากัน ในขณะที่ ETF มีราคาเสนอซื้อและเสนอขายที่แตกต่างกัน ส่วนต่างระหว่างราคาทั้งสองเรียกว่าสเปรด

กองทุนเฮดจ์ฟันด์

กองทุนเฮดจ์ฟันด์คือการลงทุนความเสี่ยงสูงแต่ให้ผลตอบแทนสูง จัดการโดยผู้เชี่ยวชาญสำหรับนักลงทุนกลุ่มผู้มีฐานะ โดยทั่วไปกองทุนประเภทนี้จะดึงดูดสถาบันการเงินหรือบุคคลที่มีรายได้สูงหรือความมั่งคั่งสะสม บางครั้งคุณอาจต้องลงทุนแบบล็อกเงินเป็นระยะเวลาหนึ่ง นอกจากนี้ ยังมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า โดยจะคิดเป็นค่าบริหารจัดการรวมกับค่าตอบแทนตามผลประกอบการ (คิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากกำไร)

ต่างจากกองทุนรวมหรือ ETFs ที่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด กองทุนเฮดจ์ฟันด์อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ผ่อนปรนกว่า จึงสามารถลงทุนในสินทรัพย์ได้หลากหลายประเภท (ทั้งหุ้น พันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์ อนุพันธ์ ฯลฯ)

โอกาสทำกำไรสูงมาก...แต่ก็เสี่ยงขาดทุนหนักไม่แพ้กัน กองทุนเฮดจ์ฟันด์เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์มากกว่า พวกเขามักมองหาผลตอบแทนแบบสัมบูรณ์ (กำไรที่ไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของตลาด) และใช้กลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นและก้าวร้าว (เช่นการชอร์ตเซลล์และการใช้เลเวอเรจ) เพื่อสร้างผลกำไรขนาดใหญ่

แม้ธุรกิจเฮดจ์ฟันด์จะเติบโตจนบริหารเงินหลายล้านล้านดอลลาร์ทั่วโลก แต่มันยังคงเป็นตลาดเฉพาะสำหรับมืออาชีพที่มองหากลยุทธ์การลงทุนทางเลือก

กองทุนตลาดเงิน (Money Market Funds)

สำหรับคนที่อยากเก็บเงินสภาพคล่องพร้อมได้ดอกเบี้ยนิดหน่อย กองทุนตลาดเงินคือตัวเลือกที่ดีที่สุด

กองทุนประเภทนี้มีความเสี่ยงต่ำ เพราะลงทุนในสินทรัพย์ระยะสั้นที่ปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หุ้นกู้บริษัทเกรดดี หนังสือรับรองฐานะการเงินจากธนาคาร กองทุนเหล่านี้มักจะรักษาราคาให้คงที่ (ในสหรัฐมักอยู่ที่ 1 ดอลลาร์ต่อหน่วย) และใช้เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยและหลากหลายในการจอดเงินสด มีความผันผวนต่ำมาก เพราะลงทุนในหลักทรัพย์อายุไม่เกิน 1 ปี และความเสี่ยงต่ำ แถมเงินเข้าออกง่ายเหมือนบัญชีธนาคาร

แม้คุณจะไม่ได้กำไรมากเหมือนการลงทุนในหุ้นหรือพันธบัตร แต่กองทุนตลาดเงินก็เป็นโอกาสที่ดีในการเก็บเงินสดด้วยความเสี่ยงน้อยที่สุด หรือใช้เป็นที่พักเงินปลอดภัยเมื่อตลาดหุ้นไม่แน่นอนหรือเมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น

อยากลองเล่นเทรดแต่ไม่รู้เริ่มต้นยังไงเหรอ? ไปที่ FBS แล้วเริ่มเทรดด้วยบัญชีทดลอง

กองทุนที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ (Private equity funds)

กองทุนประเภทนี้จะลงทุนในบริษัทเอกชน (หรือบริษัทมหาชนที่กำลังจะกลายเป็นเอกชนอีกครั้ง) และช่วยให้บริษัทเหล่านี้เติบโตก่อนที่จะขายเพื่อทำกำไร ตัวอย่างหนึ่งของบริษัทรายใหญ่ที่ทำหน้าที่บริหารหุ้นนอกตลาดคือ Blackstone

กองทุนที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์จะระดมทุนจากนักลงทุนรายใหญ่และนำเงินไปใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจ ปรับโครงสร้าง และในที่สุดก็ขายเพื่อทำกำไร กองทุนเหล่านี้มักกำหนดให้นักลงทุนต้องล็อกเงินไว้เป็นเวลาน (5-10 ปี หรือบางครั้งนานกว่านั้น) เพราะบริษัทเอกชนใช้เวลาในการเติบโต กองทุนที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์อาจลงทุนในสตาร์ทอัป บริษัทที่กำลังขยายตัว หรือแม้แต่ซื้อกิจการโดยใช้เงินกู้ เช่นเดียวกับการลงทุนความเสี่ยงสูงอื่น ๆ กองทุนประเภทนี้มีความเสี่ยงมาก แต่ก็ให้โอกาสทำกำไรได้สูงเช่นกัน เนื่องจากมูลค่าสุดท้ายขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการพัฒนาธุรกิจและขายบริษัทในพอร์ตการลงทุนได้ ปัจจุบัน กองทุนที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ได้กลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ทั่วโลก

กลยุทธ์ทั่วไปที่นักลงทุนใช้ในการจัดการกองทุนประเภทนี้ ได้แก่:

  • การซื้อกิจการด้วยเลเวอเรจ (ใช้เงินกู้ในการเข้าซื้อบริษัท)

  • เงินร่วมลงทุน (การลงทุนในสตาร์ทอัป) และ

  • ทุนขยายธุรกิจ (ลงทุนในบริษัทที่กำลังขยายตัว)

เช่นเดียวกับเฮดจ์ฟันด์ ตลาดกองทุนที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ไม่เหมาะกับทุกคน เนื่องจากกองทุนเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสูงและต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง

ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs)

ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIT เป็นบริษัทที่เป็นเจ้าของหรือให้ทุนทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้: อาคารสำนักงาน อพาร์ทเมนต์ ห้างสรรพสินค้า โรงแรม หรือสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ กองทรัสต์อนุญาตให้บุคคลสามารถถือครองทรัพย์สินที่เป็นรายได้ได้โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินจริง ๆ คล้ายกับการถือหุ้นในเครือโรงแรมใหญ่ — คุณไม่ต้องจัดการโรงแรมเอง แต่ได้ส่วนแบ่งจากกำไร ตามกฎหมายแล้ว กองทรัสต์ส่วนใหญ่ต้องจ่ายเงินปันผลให้ผู้ลงทุนอย่างน้อย 90% ของกำไรที่ต้องเสียภาษี ทำให้เป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการรายได้ประจำ

กองทรัสต์มีหลายประเภท: ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Equity REITs) โดยจะเป็นเจ้าของอาคารและเก็บค่าเช่า กองทรัสต์ที่ลงทุนในสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ (Mortgage REITs) โดยจะให้กู้ยืมเงินเพื่อการซื้ออสังหาริมทรัพย์ และกองทรัสต์แบบผสม (Hybrid REITs) ที่ทำทั้งสองอย่าง หุ้นของกองทรัสต์จะมีสภาพคล่องสูงกว่าการถือครองอสังหาริมทรัพย์โดยตรง เพราะสามารถซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์

มูลค่าของพวกมันขึ้นอยู่กับราคาอสังหาริมทรัพย์และอัตราดอกเบี้ย แต่ในระยะยาว พวกมันเป็นทางเลือกการลงทุนที่มั่นคง โดยให้ทั้งรายได้และการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน อย่างไรก็ตาม พวกมันมีการนำกำไรกลับมาลงทุนใหม่น้อย (ส่วนใหญ่จะจ่ายออกไปเป็นเงินปันผล)

ราคาของกองทรัสต์อาจได้รับผลกระทบจากสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์และอัตราดอกเบี้ย

การเลือกกองทุนการลงทุนควรขึ้นอยู่กับเป้าหมายของคุณ ดังนั้นจงระบุเป้าหมายให้ชัดเจนเพื่อการตัดสินใจที่ดีที่สุด

ประเภทของกองทุนการลงทุน: ตารางเปรียบเทียบ

มาดูการเปรียบเทียบประเภทกองทุนการลงทุนต่าง ๆ พร้อมรายละเอียดคุณสมบัติของแต่ละแบบ

ประเภทกองทุน

สินทรัพย์และกลยุทธ์ทั่วไป

ระดับความเสี่ยง

สภาพคล่อง

กลุ่มเป้าหมาย

กองทุนรวม (Mutual Funds)

หุ้น พันธบัตร หรือสินทรัพย์ผสม กลยุทธ์อาจเป็นแบบเชิงรุกหรือเชิงรับก็ได้ ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์

ขึ้นอยู่กับประเภทของสินทรัพย์ กองทุนหุ้นมาพร้อมกับความเสี่ยงสูงในขณะที่กองทุนพันธบัตรมักมีความเสี่ยงต่ำกว่า เป็นต้น

มีสภาพคล่องสูง (สามารถซื้อขายได้ทุกวันตามราคาสินทรัพย์สุทธิ)

นักลงทุนรายย่อยหรือสถาบันการเงินทั่วไป

กองทุนดัชนี (Index Funds)

ติดตามดัชนีตลาด (หุ้นหรือพันธบัตร)

ความเสี่ยงเท่ากับตลาด (เช่น กองทุน S&P 500 มีความเสี่ยงเท่าตลาดหุ้น)

สภาพคล่องสูง (ซื้อขายรายวัน)

นักลงทุนรายย่อยหรือสถาบันการเงินทั่วไป

กองทุนรวมดัชนี (ETFs)

มีสินทรัพย์หลากหลาย เช่น หุ้น พันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า สกุลเงินต่าง ๆ ฯลฯ

แตกต่างกัน (ขึ้นอยู่กับดัชนีและสินทรัพย์)

มีสภาพคล่องสูงมาก (ซื้อขายภายในวันในตลาดหลักทรัพย์)

นักลงทุนรายย่อย รวมถึงเทรดเดอร์ และสถาบันการเงิน

กองทุนตลาดเงิน (Money Market Funds)

ตราสารหนี้ระยะสั้นของรัฐบาลและบริษัท รายการเทียบเท่าเงินสด

ความเสี่ยงต่ำ (เน้นรักษาทุน)

สภาพคล่องสูง (ถอนได้ตลอดเวลา)

นักลงทุนรายย่อย (จัดการเงินสด) หรือบริษัทขนาดใหญ่

กองทุนเฮดจ์ฟันด์ (Hedge funds)

มีสินทรัพย์หลากหลาย เช่น หุ้นระยะสั้น/ระยะยาว อนุพันธ์ กลยุทธ์ Global Macro ฯลฯ การบริหารจัดการอย่างต่อเนื่อง

มีความเสี่ยงสูง (ใช้เลเวอเรจและกลยุทธ์ที่ซับซ้อน)

สภาพคล่องต่ำ (มีระยะล็อกและถอนเงินเป็นช่วง ๆ)

นักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญและสถาบันการเงิน (เฉพาะกลุ่ม)

กองทุนที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ (Private Equity Funds)

การลงทุนในหุ้นบริษัทเอกชน (การซื้อกิจการ, ทุนร่วมลงทุน) บริหารจัดการอย่างต่อเนื่อง

ความเสี่ยงสูง (รวมถึงความเสี่ยงของบริษัท/ธุรกิจ, การซื้อกิจการด้วยเลเวอเรจ)

สภาพคล่องต่ำมาก (เงินทุนถูกล็อคไว้เป็นเวลา 7-10+ ปี)

สถาบันการเงินและบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูง (เฉพาะกลุ่ม)

กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs)

การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หรือสินเชื่อที่อยู่อาศัย (มีโครงสร้างกองทรัสต์ตามกฎหมาย)

ปานกลาง (มีความเสี่ยงจากตลาดอสังหาริมทรัพย์: ราคาอาจผันผวน)

สูงสำหรับกองทรัสต์ภาคภาครัฐ (เทรดเหมือนหุ้น); ต่ำสำหรับกองทรัสต์ภาคเอกชน

นักลงทุนรายย่อย (ผ่านกองทรัสต์ภาครัฐ) สถาบัน (ประกันภัย บำนาญ)

กองทุนการลงทุน: คำถามที่พบบ่อย

การลงทุน 4 ประเภทหลักมีอะไรบ้าง?

  • หุ้น (ตราสารทุน)

  • พันธบัตร (ตราสารหนี้)

  • เงินสดหรือสิ่งที่เทียบเท่าเงินสด (เช่น เงินฝากออมทรัพย์, ตราสารตลาดเงิน)

  • อสังหาริมทรัพย์ (สิทธิครอบครอง)

บางแหล่งอาจรวมสินค้าโภคภัณฑ์หรือสินทรัพย์ทางเลือก (เช่น สกุลเงินดิจิทัล) เป็นประเภทที่แยกออกไป แต่ประเภทหลักก็ตามที่ระบุไว้ข้างต้น

กองทุนการลงทุนสร้างรายได้อย่างไร?

กองทุนการลงทุนสร้างรายได้ผ่าน 2 วิธีหลัก:

  • กำไรจากทุน หากมูลค่าสินทรัพย์ในกองทุนเพิ่มขึ้น มูลค่ากองทุนก็จะสูงขึ้น นักลงทุนสามารถขายหน่วยลงทุนเพื่อทำกำไรได้

  • เงินปันผลหรือดอกเบี้ย กองทุนบางประเภทจ่ายผลตอบแทนจากหุ้น (เงินปันผล) หรือพันธบัตร (ดอกเบี้ย) ให้กับนักลงทุน

กองทุนการลงทุนมีความเสี่ยงหรือไม่?

ข้อควรจำ: ทุกเครื่องมือการลงทุนมีความเสี่ยง แต่ระดับความเสี่ยงขึ้นอยู่กับประเภทของกองทุน

  • ตัวเลือกความเสี่ยงต่ำ: กองทุนตลาดเงินหรือกองทุนพันธบัตร

  • กองทุนที่มีความเสี่ยงปานกลาง: กองทุนผสม (รวมหุ้นและพันธบัตร) หรือกองทุนดัชนี

  • ตราสารที่มีความเสี่ยงสูงที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญ: กองทุนเฮดจ์ฟันด์, กองทุนที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์, กองทุนเฉพาะกลุ่ม

การกระจายการลงทุนและขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสทำกำไร

ฉันต้องใช้เงินเท่าไรในการเริ่มลงทุนในกองทุน?

ขึ้นอยู่กับประเภทกองทุน กองทุนรวมบางประเภทใช้เงินขั้นต่ำในการลงทุน $500 หรือ $1000 ในขณะที่ ETF สามารถซื้อได้ด้วยราคาต่อหนึ่งหน่วยเท่านั้น

ฉันจะเลือกกองทุนการลงทุนที่เหมาะสมได้อย่างไร?

ให้พิจารณาสิ่งต่อไปนี้:

  • เป้าหมายหลักของคุณ คุณเน้นการเติบโตระยะยาว รายได้ประจำ หรือความมั่นคง?

  • ความเสี่ยงที่คุณรับได้ คุณรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ หรือชอบทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด?

  • ค่าธรรมเนียม คุณพร้อมจ่ายค่าธรรมเนียมเท่าไร?

  • ผลประกอบการกองทุน ดูผลตอบแทนในอดีต แต่นึกไว้เสมอว่าผลประกอบการที่ผ่านมาไม่ได้รับประกันผลลัพธ์ในอนาคต

กองทุนดัชนีและ ETF เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น เนื่องจากมีค่าธรรมเนียมต่ำและมีการกระจายความเสี่ยงที่หลากหลาย

สรุป

โลกของกองทุนลงทุนมีความหลากหลาย ทั้งนักลงทุนมือใหม่และมืออาชีพต่างหาตัวเลือกที่เหมาะได้ ผู้เริ่มต้นอาจเลือก ETF หรือกองทุนรวมเพื่อเริ่มต้นง่ายๆ ส่วนนักลงทุนประสบการณ์สูงที่ต้องการผลตอบแทนเพิ่มหรือลงทุนในสินทรัพย์เฉพาะทาง อาจเลือกเครื่องมือซับซ้อนอย่างกองทุนเฮดจ์ฟันด์หรือกองทุนที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ การวิเคราะห์และทำความเข้าใจตลาดจะช่วยให้ตัดสินใจดีขึ้น และสร้างพอร์ตการลงทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินและระดับความเสี่ยง

FBS คือโอกาสของคุณที่จะได้รับประโยชน์จากการเทรด: เข้าร่วมตอนนี้!

แบ่งปันกับเพื่อน ๆ:

เปิดบัญชี FBS

โดยการลงทะเบียน คุณได้ยอมรับเงื่อนไขของ ข้อตกลงลูกค้า FBS และ นโยบายความเป็นส่วนตัว FBS และยอมรับความเสี่ยงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการซื้อขายในตลาดการเงินระดับโลก