FBS ก้าวเข้าสู่ปีที่ 16

ปลดล็อกของรางวัลวันเกิด: ตั้งแต่แก็ดเจ็ตและรถในฝันไปจนถึงทริป VIPเรียนรู้เพิ่มเติม

04 ก.ค. 2025

การจัดการความเสี่ยง

ความเสี่ยงในการลงทุน: ทำความเข้าใจประเภทและผลกระทบของการลงทุน

ทำความเข้าใจประเภทและผลกระทบของการลงทุน

ความเสี่ยงในการลงทุนคืออะไร?

ความเสี่ยงในการลงทุนคือโอกาสที่ผลลัพธ์อาจไม่เป็นไปตามที่คุณคาดหวัง คุณใส่เงินลงไปด้วยความหวังว่าจะเติบโต แต่ก็มีโอกาสที่มันจะสูญเปล่า

ไม่ว่าการลงทุนที่คุณเล็งไว้จะดูมีแนวโน้มดีแค่ไหน แต่ก็ไม่มีอะไรที่การันตีผลตอบแทนได้ แม้แต่สินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุดก็อาจพลิกผันไม่เป็นไปตามคาด ตลาดมีความไม่แน่นอนโดยธรรมชาติ และมันก็เป็นส่วนหนึ่งของการลงทุน นั่นเป็นข่าวดีใช่ไหม? ถ้าคุณเข้าใจเรื่องความเสี่ยง คุณก็สามารถใช้มันให้เป็นประโยชน์ได้

ประเภทของความเสี่ยงทางการเงิน

ความเสี่ยงเชิงระบบ (Systematic Risks)

มันเป็นความเสี่ยงที่คุณหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้จะกระจายการลงทุนดีแค่ไหนก็ตาม เพราะมันส่งผลกระทบต่อทั้งตลาดหรือส่วนใหญ่ของตลาด

  • ความเสี่ยงจากตลาด (Market Risk) เป็นความเสี่ยงพื้นฐานที่สุด หุ้นอาจขึ้นและลง หรือบางครั้งก็ดิ่งเหว ความผันผวนนี้ส่งผลกระทบเกือบทุกการลงทุนในพอร์ตของคุณ ไม่ใช่แค่สินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง

  • ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk) เมื่อธนาคารกลางปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นหรือลง มันอาจส่งผลกระทบที่รุนแรงได้ โดยเฉพาะกับพันธบัตรและอสังหาริมทรัพย์ บางครั้งหุ้นเองก็โดนลูกหลงไปด้วย

  • ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Inflation Risk) หากเงินเฟ้อกัดกร่อนผลตอบแทนของคุณ อำนาจซื้อที่แท้จริงจะลดลง แม้ตัวเลขในบัญชีของคุณจะเพิ่มขึ้นก็ตาม

  • ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Risk) เมื่อคุณลงทุนในสินทรัพย์ที่ผูกกับต่างประเทศ ความผันผวนของค่าเงินอาจกัดกร่อนกำไรหรือเพิ่มความเสียหายให้กับการลงทุนของคุณ

  • ความเสี่ยงจากประเทศ (Country Risk) สมมติว่าคุณลงทุนในบริษัทต่างประเทศ แม้บริษัทนั้นจะแข็งแกร่ง แต่หากประเทศนั้นเกิดปัญหาทางการเมืองหรือเศรษฐกิจ การลงทุนของคุณก็อาจได้รับผลกระทนได้เช่นกัน เพราะบางครั้งความเสี่ยงไม่ได้มาจากตัวธุรกิจ แต่มาจากสภาพแวดล้อมโดยรวม

  • ความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk) ความขัดแย้งทางทหาร การคว่ำบาตร หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงกระทันหันสามารถสั่นคลอนตลาดการลงทุนในแบบที่คาดการณ์ไม่ได้ เมื่อความไม่แน่นอนเกิดขึ้น นักลงทุนมักถอนตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจส่งผลต่อพอร์ตการลงทุนของคุณ แม้ว่าคุณจะไม่ได้ลงทุนในภูมิภาคนั้นโดยตรงก็ตาม

  • ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) หากไม่มีใครต้องการซื้อสิ่งที่คุณต้องการขาย คุณก็จะติดแหง็ก สินทรัพย์ที่ขายยากเมื่อต้องการเงินสดสามารถกลายเป็นปัญหาได้ในเวลาอันรวดเร็ว

ความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบ (Non-systematic Risks)

ความเสี่ยงประเภทนี้เกี่ยวข้องกับบริษัทหรืออุตสาหกรรมเฉพาะ แต่คุณสามารถลดความเสี่ยงนี้ได้ด้วยการกระจายการลงทุนอย่างชาญฉลาด

  • ความเสี่ยงทางธุรกิจ (Business Risk) บางบริษัทอาจบริหารจัดการไม่ดี อาจเพราะโมเดลธุรกิจไม่แข็งแรง แข่งขันไม่ทันคู่แข่ง หรือผลิตภัณฑ์ล้มเหลวไม่ดึงดูดตลาด

  • ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ (Operational Risk) เกิดจากความผิดพลาดในกระบวนการทำงาน เช่น คำสั่งซื้อผิดพลาด ระบบล่ม หรือการแต่งตั้งบุคคลที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นอะไร แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ ก็อาจส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัทได้ มันอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเสมอไป แต่ก็ยังสามารถสร้างความเสียหายทางการเงินได้ หากทำให้กระบวนการทำงานช้าลงหรือทำให้ลูกค้าเดินหนีไป

  • ความเสี่ยงด้านกฎหมายและกฎระเบียบ (Legal and Regulatory Risk) นี่คือปัญหาประเภทที่มักปรากฏเป็นข่าวใหญ่ บริษัทอาจถูกปรับ ถูกดึงเข้าสู่กระบวนการศาล หรือต้องเจอกับกฎระเบียบใหม่ที่ไม่ได้เตรียมตัวไว้ ไม่สำคัญว่าธุรกิจจะกำลังไปได้ดี แค่ปัญหากฎหมายเดียวก็สามารถทำให้ทุกอย่างพังได้

  • ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit/Default Risk) หากบริษัทไม่สามารถชำระหนี้ได้ ผู้ถือหุ้นกู้และผู้ให้กู้ย่อมเผชิญปัญหา ความเสี่ยงนี้สำคัญเป็นพิเศษสำหรับนักลงทุนในสินทรัพย์ให้ผลตอบแทนคงที่

  • ความเสี่ยงจากแบบจำลอง (Modeling Risk) แบบจำลองทางการเงินนั้นดีได้แค่สมมติฐานที่อยู่เบื้องหลังมัน หากการคาดการณ์ของคุณพึ่งพาแบบจำลองที่ผิดพลาด คุณอาจเจอเรื่องไม่คาดคิดได้

    ความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบ

การกระจายการลงทุน (Diversification)

การกระจายการลงทุนไม่ใช่เวทมนตร์วิเศษ แต่มันอาจเป็นวิธีที่ปฏิบัติได้จริงที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้การลงทุนของคุณพังครืน

แนวคิดนี้เรียบง่าย: อย่าพึ่งพาสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป หากคุณลงทุนเฉพาะในหุ้นเทคโนโลยี หรือโยนเงินทั้งหมดไปที่ตลาดประเทศเดียว เหตุการณ์เดียวก็สามารถสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงได้

แทนที่จะลงทุนแบบเดิม ๆ คุณควรกระจายการลงทุน ด้วยการถือหุ้นจากหลายอุตสาหกรรม เพิ่มพันธบัตรทั้งรัฐบาลและเอกชน บางทีอาจเพิ่มอสังหาริมทรัพย์หรือไม่ก็ได้ สุดท้ายแล้วคุณต้องการพอร์ตการลงทุนที่เมื่อส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบ แต่ส่วนที่เหลือยังคงมั่นคงหรืออาจได้ประโยชน์

การกระจายการลงทุน

และอย่าเพียงตั้งค่าแล้วลืมมันไป ตลาดเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งที่สมดุลเมื่อปีก่อนอาจเอียงไปข้างหนึ่งแล้วตอนนี้ ลองตรวจสอบพอร์ตการลงทุนของคุณเป็นครั้งคราว และให้แน่ใจว่ามันยังสอดคล้องกับเป้าหมายของคุณอยู่

ความเสี่ยงเทียบกับผลตอบแทน

ความเสี่ยงคือปัจจัยคู่กับการเติบโต แต่จะรู้ได้ยังไงว่าเสี่ยงเกินไป? คำตอบนั้นขึ้นอยู่กับเทรดเดอร์แต่ละคน

ความเสี่ยงเทียบกับผลตอบแทน

บางคนรู้สึกสบายใจที่กล้าเสี่ยงแบบสุดตัว ในขณะที่บางคนนอนอาจไม่หลับหากพอร์ตของพวกเขาร่วงไป 5% ทั้งสองแบบไม่ได้ผิดอะไร สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าตัวเองอยู่จุดไหนและยอมรับความจริงนั้น

ลองพิจารณาปัจจัยเหล่านี้:

  • อายุและระยะเวลาการลงทุนของคุณ

  • รายได้และเงินออม

  • เป้าหมายระยะยาว

  • ความอดทนทางอารมณ์ต่อความผันผวน

  • ประสบการณ์การลงทุนในอดีต

อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk/Reward Ratio) บอกคุณว่าคุณจะได้ผลตอบแทนเท่าไรต่อความเสี่ยงแต่ละหน่วยที่รับ สิ่งนี้ควรค่าแก่การใส่ใจ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบตัวเลือกการลงทุน การลงทุนเสี่ยงสูงอาจดูน่าตื่นเต้น แต่ผลตอบแทนนั้นคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจริง ๆ หรือเปล่า?

สรุป

ไม่มีใครชอบความคิดที่จะเสียเงิน แต่ความเสี่ยงเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุน สิ่งสำคัญคือคุณจัดการกับมันอย่างไร ความเสี่ยงบางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็มีอีกมากที่คุณสามารถเตรียมตัวรับมือได้ ก่อนจะลงทุนอะไร ต้องแน่ใจว่าเข้าใจจริง ๆ ว่ากำลังจะเจอกับอะไร อย่าแค่ทำตามคนอื่นเพียงเพราะมันได้ผลสำหรับเขา เพราะเป้าหมายและสถานการณ์ของคุณนั้นอาจไม่เหมือนกัน ดังนั้นวิธีลงทุนขอบคุณก็ควรแตกต่างไปด้วย

คุณไม่จำเป็นต้องเสี่ยงเหมือนนักพนันมืออาชีพ การระมัดระวังเป็นเรื่องปกติ ตราบใดที่คุณรู้ว่าต้องการอะไร และพร้อมจะปรับตัวเมื่อรู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม

คำถามที่พบบ่อย

1. ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าฉันรับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน?

มันขึ้นอยู่กับว่าคุณมีรายได้มากแค่ไหน มีเงินเก็บเท่าไร และคุณโอเคไหมหากเห็นเงินของคุณลดลงโดยไม่ตื่นตระหนก การทดสอบและแบบสอบถามพิเศษสามารถช่วยให้คุณเข้าใจเรื่องนี้ได้

2. อะไรที่ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนได้จริง ๆ?

การกระจายเงินลงทุนช่วยได้มากกว่าที่หลายคนคิด คุณไม่ควรลงทุนทั้งหมดในหุ้นตัวเดียวหรือกลุ่มอุตสาหกรรมเดียว บางคนใช้ออปชั่นหรือฟิวเจอร์เพื่อป้องกันความเสี่ยง แต่ถ้าไม่แน่ใจว่าทำอะไรอยู่ อาจโฟกัสที่การสร้างพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายจะดีกว่า

3. การลงทุนระยะยาวมีความเสี่ยงน้อยกว่าจริงหรือ?

โดยทั่วไปมักรู้สึกแบบนั้น ในแต่ละวัน ตลาดขึ้นลงไม่หยุด แต่ถ้าคุณไม่ได้วางแผนจะถอนเงินออกในเร็ว ๆ นี้ ความผันผวนเหล่านั้นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบรุนแรงนัก เมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างมักจะฟื้นตัว แม้จะไม่การันตีความปลอดภัย 100% แต่โดยปกติแล้วมันจะมีความวุ่นวายน้อยกว่าถ้าคิดเป็นปี ไม่ใช่แค่เดือน

4. การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ส่งผลต่อความเสี่ยงในการลงทุนหรือไม่?

ส่งผลแน่นอน ความเสี่ยงในการลงทุนแต่ละประเภทเกิดจากปัจจัยกระตุ้นที่แตกต่างกัน และแนวโน้มภาพใหญ่เหล่านั้นก็เป็นหนึ่งในปัจจัยหลัก ตัวอย่างเช่น ภาวะเงินเฟ้อสูงสามารถกัดกร่อนผลตอบแทน ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้พันธบัตรดูน่าสนใจน้อยลง คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักเศรษฐศาสตร์ แต่การติดตามภาพรวมเศรษฐกิจจะช่วยให้ลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

แบ่งปันกับเพื่อน ๆ:

เปิดบัญชี FBS

โดยการลงทะเบียน คุณได้ยอมรับเงื่อนไขของ ข้อตกลงลูกค้า FBS และ นโยบายความเป็นส่วนตัว FBS และยอมรับความเสี่ยงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการซื้อขายในตลาดการเงินระดับโลก