ทำไมตลาดจึงตก?
มันเป็นเรื่องน่าท้อใจเสมอที่เห็นตลาดหุ้นกำลังล้มลง เมื่อราคาหุ้นกำลังลดลง นักลงทุนจะเริ่มสูญเสียความมั่นใจและเทขายหุ้นทิ้งแม้จะต้องขาดทุนก็ตาม สิ่งนี้สามารถส่งผลเสียต่อทั้งตลาดหุ้นได้ ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อและแม้แต่ตามมาด้วยการเริ่มต้นของภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจครั้งใหม่
ในบทความนี้ เราจะเรียนรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันในตลาดหุ้น สิ่งที่ทำให้เกิดความผิดพลาดของตลาดหุ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผลพวงที่เป็นไปได้ของการล่มสลายของตลาดหุ้น และเมื่อไหร่ที่เราคาดหวังได้ว่ามันจะสิ้นสุดลง
ประเด็นสำคัญ
- สภาวะตลาดหุ้นล้มคือการที่ราคาหุ้นลดลงอย่างรวดเร็วและคาดไม่ถึง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นภายในหนึ่งวัน
- สภาวะตลาดหุ้นล้มสามารถนำไปสู่ตลาดหมีที่ยืดเยื้อและอาจตามมาด้วยภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่
- สภาวะตลาดหุ้นล้มอาจเกิดจากอัตราเงินเฟ้อ ปัญหาเศรษฐกิจโลกหรือการเมือง และแม้แต่การตัดสินใจต่าง ๆ ของรัฐบาลแต่ละชุด
- รายงานหรือการเผยข้อมูลอย่างเป็นทางการสามารถช่วยให้นักลงทุนคาดการณ์ได้ว่าตลาดกำลังจะล้มลงเร็ว ๆ นี้หรือไม่
เกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นในตอนนี้?
ตลาดหุ้นกำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก ปีที่แล้วก็ลำบากจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนักที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งส่งผลต่อสถานการณ์ปัจจุบันในตลาดการเงินทั้งหมด ดัชนี S&P 500 ได้ร่วงลงอีกครั้งแม้ว่าจะไต่กลับขึ้นมาได้อย่างช้า ๆ หลังการร่วงลงในเดือนธันวาคม และการล่มสลายของธนาคาร Silicon Valley Bank เมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ได้ทำให้เกิดความโกลาหลในอุตสาหกรรม ซึ่งหมายความว่าตลาดหมีในปัจจุบันจะยังไม่กลับตัวในอนาคตอันใกล้
ณ ปัจจุบัน ตลาดหุ้นกำลังประสบกับภาวะขาลงเนื่องจากนักลงทุนเริ่มเทขายหุ้นของตน เนื่องจากเกรงว่าราคาคงจะไม่เพิ่มขึ้นในเร็ว ๆ นี้ และพวกเขาอาจสูญเสียโอกาสในนำเงินของตนคืนกลับมา
ทำไมตลาดหุ้นถึงตกต่ำ?
ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจได้ชะลอตัวลง หลายบริษัทไม่สามารถทำเงินได้มากเท่าที่เคย ซึ่งสิ่งนี้ได้เพิ่มความลังเลในหมู่นักลงทุน พวกเขาไม่แน่ใจอีกต่อไปว่าตลาดจะสามารถดีดตัวขึ้นจากภาวะตกต่ำได้หรือเปล่า ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มเทขายหุ้นแทนที่จะซื้อหุ้นใหม่ ส่งผลให้ราคาร่วงลงอีกและทำให้ผู้ซื้อที่มีศักยภาพเกิดความกลัว
มีหลายสาเหตุที่ทำให้หุ้นตกต่ำ และเราจะพยายามตรวจสอบสาเหตุที่โดดเด่นที่สุด
เงินเฟ้อและการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย
ก่อนเริ่มต้นปีใหม่ ตลาดหุ้นได้ร่วงลงเนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่จ่ายจากยอดเงินสำรองเป็น 4.4% เพื่อพยายามต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น นี่เป็นแนวทางปฏิบัติทั่วไปที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดจำนวนเงินหมุนเวียนและลดกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประชากร ซึ่งส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อลดลง
อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยที่สูงก็มักจะเป็นข่าวร้ายของตลาดหุ้น เพราะเมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น บริษัทต่าง ๆ ก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นในการกู้ยืมเงินและทำธุรกิจ การลดการทำธุรกิจย่อมหมายถึงรายรับและรายได้ที่น้อยลง ซึ่งขัดขวางการเติบโตของบริษัท ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนอีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงมักจะพยายามกำจัดหุ้นที่ตนเป็นเจ้าของและย้ายเงินทุนไปยังการลงทุนที่มั่นคงกว่า ส่งผลให้ตลาดหุ้นร่วงลงต่อเรื่อย ๆ โดยไม่มีเงินใหม่ ๆ จากเทรดเดอร์เข้ามา
ความไม่สอดคล้องกันระหว่างอุปสงค์และอุปทาน
ปัจจัยนี้เชื่อมโยงบางส่วนกับการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ อย่างที่เราทราบกันดีว่าอุปสงค์และอุปทานนั้นมีความเชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น การมีความต้องการสินค้าสูงจะกระตุ้นให้มีอุปทานสูงขึ้นและราคาสินค้าเหล่านี้ก็จะปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นเมื่อนักลงทุนเทขายหุ้นของพวกเขา อุปทานของหุ้นจึงเริ่มเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ความยากลำบากทางการเงินในปัจจุบันทำให้ผู้ซื้อที่มีศักยภาพต่างระมัดระวังในการเข้าซื้อหุ้น สิ่งนี้หมายความว่าในขณะที่มีอุปทานหุ้นสูง แต่ความต้องการหุ้นกลับต่ำมาก ความไม่สอดคล้องกันนี้ทำให้ราคาหุ้นลดลง แต่เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันส่งผลกระทบต่อบริษัทส่วนใหญ่ในตลาด การขาดการเชื่อมโยงระหว่างอุปสงค์และอุปทานจึงได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งตลาดหุ้น
อิทธิพลของตลาดโลก
การแพร่ระบาดครั้งล่าสุดได้แสดงให้เห็นว่าโลกาภิวัตน์เชื่อมโยงเศรษฐกิจของทุกประเทศได้อย่างไร โควิด -19 และมาตรการต่าง ๆ ที่ใช้เพื่อป้องกันการแพร่กระจายได้ทำให้ห่วงโซ่อุปทานจำนวนมากทั่วโลกหยุดชะงัก แม้ในตอนนี้ที่ประเทศส่วนใหญ่เกือบฟื้นตัวได้จากโรคระบาด เราจะเห็นได้ว่ามาตรการกักกันที่เข้มงวดในจีนได้ทำให้เกิดการขาดแคลนทรัพยากรที่จำเป็นในการผลิตสินค้าใหม่ ๆ และส่งผลกระทบต่อผลผลิตและผลกำไรของบริษัทหลายแห่งทั่วโลกอย่างไร สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าแนวโน้มและปัญหาที่เกิดขึ้นในตลาดโลกหนึ่งนั้นมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อสภาพการณ์ของตลาดอื่น ๆ ทั้งหมดทั่วโลก ซึ่งมันกำลังแพร่กระจายไปรอบ ๆ ดุจปฏิกิริยาลูกโซ่
เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์
เสถียรภาพของตลาดหุ้นอาจได้รับผลกระทบแม้จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการเงินโดยตรง ความขัดแย้งระหว่างประเทศและภายในประเทศ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงของรัฐบาล และสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันอื่น ๆ อาจส่งผลต่อความสามารถของบริษัทในการจัดหาสินค้าหรือบริการ ซึ่งอาจส่งผลต่อรายได้และชื่อเสียงของบริษัทในตลาดหุ้น ดังนั้น เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้โจมตีหลายประเทศพร้อมกัน ความเสียหายต่อตลาดหุ้นทั่วโลกก็คงใกล้เข้ามาแล้ว
การล่มสลายของสถาบันการเงินที่สำคัญหลายแห่ง
การปิดตัวลงของ Silicon Valley Bank (SVB) เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ทำให้เกิดคลื่นความตื่นตระหนกระลอกใหญ่ไปทั่วตลาดต่าง ๆ SVB เป็นธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับสองในแคลิฟอร์เนียด้วยเงินทุนสองแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นการล้มลงของธนาคารนี้จึงได้กลายเป็นความล้มเหลวของธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ การที่ธนาคารได้มีส่วนร่วมในภาคธุรกิจร่วมทุนและสตาร์ตอัปก่อนหน้านี้ จะหมายความว่าหลายธุรกิจสตาร์ตอัปดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะประสบปัญหาจากการล้มลงของธนาคาร ซึ่งบางบริษัทก็จำเป็นต้องปิดตัวลงในอนาคตอันใกล้นี้ ยิ่งไปกว่านั้น S&P 500 ได้แสดงการลดลงรายสัปดาห์ที่มากที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2023 นี่เป็นตัวอย่างที่ดีมาก ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าธนาคารและสถาบันการเงินอื่น ๆ สามารถมีอิทธิพลต่อเสถียรภาพของตลาดหุ้นได้มากน้อยเพียงใด
อันตรายของการพังทลายของสภาวะตลาดหุ้นล้ม
เมื่อตลาดหุ้นประสบกับราคาที่ลดลงอย่างไม่คาดฝัน มันอาจทำให้นักลงทุนไม่กล้าเข้าซื้อหุ้นใหม่ ๆ พวกเขาจะพยายามกำจัดสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นการลงทุนที่ไม่น่าเชื่อถือ แต่หุ้นเป็นแหล่งสนับสนุนทางการเงินที่สำคัญมากสำหรับบริษัทต่าง ๆ และหากไม่มีนักลงทุนมากพอ ธุรกิจของพวกเขาอาจชะลอตัวลง หลายบริษัทอาจต้องลดค่าใช้จ่ายจำนวนมากและเลิกจ้างพนักงานจำนวนหนึ่ง ซึ่งจะทำให้อัตราการว่างงานโดยรวมสูงขึ้น คนที่ไม่มีงานทำมักจะใช้เงินน้อยลง และสิ่งนี้จะทำให้รายได้ของบริษัทลดต่ำลงอีก วัฏจักรที่ไม่จบสิ้นนี้อาจนำไปสู่ความเสื่อมโทรมของเศรษฐกิจและทำให้เกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ซึ่งมันได้เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต นี่คือสาเหตุที่สภาวะตลาดหุ้นล้มมักสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนทั่วไป
สภาวะตลาดหุ้นล้มจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่?
เมื่อตลาดตกต่ำ คุณอาจรู้สึกว่าการตกต่ำนี้ดูท่าจะไม่มีวันสิ้นสุด อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตลาดหุ้นทั่วโลกได้ประสบกับปัญหาดังกล่าว สิ่งที่เทรดเดอร์จำนวนมากลืมไปคือตลาดหุ้นนั้นจะเคลื่อนตัวเป็นวัฏจักรเสมอ ตลาดหมีที่มีราคาที่ตกต่ำและความเชื่อมั่นในเชิงลบของนักลงทุนมักจะตามมาด้วยตลาดกระทิงที่กินเวลานานกว่าเสมอ
กว่าที่ราคาจะไต่กลับขึ้นมาได้ก็คงต้องใช้เวลาสักพัก แต่ในที่สุดมันก็จะเกิดขึ้น วิธีที่ดีที่สุดในการค้นหาว่ามันมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในตอนไหนคือการติดตามรายงานอย่างเป็นทางการ การตัดสินใจนโยบายทางการเงินของธนาคารกลาง และการเผยข้อมูลทางเศรษฐกิจ
ตัวอย่างเช่น รายงานการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (NFP) จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของตลาดแรงงานในสหรัฐอเมริกา นักลงทุนหลายคนต่างให้ความสนใจกับรายงานนี้อย่างใกล้ชิดเนื่องจากมันสามารถบ่งชี้ได้ว่าราคาหุ้นมีแนวโน้มจะขึ้นหรือลง หากรายงาน NFP แสดงให้เห็นว่างานมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง นี่เป็นสัญญาณของเศรษฐกิจที่แข็งแรง ในขณะที่งานที่มีการเติบโตที่อ่อนแอหรือมีการว่างงานสูงสามารถบ่งชี้ได้ว่าเศรษฐกิจกำลังดิ้นรนและตลาดหุ้นอาจมีปัญหาในอีกไม่ช้า
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เป็นอีกหนึ่งตัวบ่งชี้ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีประโยชน์ต่อนักลงทุน มันถูกใช้ในการวัดอัตราเงินเฟ้อ หาก CPI บ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อกำลังเพิ่มสูงขึ้นจนเป็นอันตราย รัฐบาลอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาหุ้นลดลง ดังที่เราได้เห็นมันเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาไปเมื่อเร็ว ๆ นี้
ยังมีอีกหลายรายงานและการเผยข้อมูลอื่น ๆ ที่สามารถแสดงภาพรวมให้คุณเห็นได้ ติดตามข่าวเศรษฐกิจและก้าวนำตลาดด้วย ปฏิทินเศรษฐกิจ FBS วิธีนี้จะช่วยให้คุณเห็นว่ามีโอกาสหรือไม่ที่ตลาดหุ้นจะล้มหรือฟื้นตัว และเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ได้
จากข้อมูลที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น เฟด (ธนาคารกลางสหรัฐฯ) และหน่วยงานกำกับดูแลอื่น ๆ จะตัดสินใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย หากอัตราเงินเฟ้อถึงจุดสูงสุดและเจ้าหน้าที่มั่นใจว่ามันจะลดลงในอีกไม่ช้า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งจะทำให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง และดันราคาหุ้นให้พุ่งสูงขึ้น
สรุป
ทศวรรษนี้มีการเริ่มต้นที่ค่อนข้างลำบาก ด้วยการพังทลายของตลาดหุ้นหนึ่งซึ่งคงจะตามมาอีกหลายแห่งในระยะเวลาอันสั้น มันยากมากที่จะบอกได้ว่าเร็วแค่ไหนที่แนวโน้มขาลงของตลาดหุ้นจะถูกแทนที่ด้วยการเคลื่อนตัวเป็นขาขึ้นของราคา สิ่งเดียวที่นักลงทุนและเทรดเดอร์สามารถทำได้ในตอนนี้คือรอการเผยข้อมูลอย่างเป็นทางการเพิ่มเติม และหลีกเลี่ยงการตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นอันเนื่องมาจากความกลัว
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
ทำไมหุ้นถึงขึ้น?
ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นก็ต่อเมื่อมีเทรดเดอร์จำนวนมากต้องการซื้อ ยิ่งมีความต้องการหุ้นมาก อุปทานก็จะยิ่งลดลง ซึ่งหมายความว่าหุ้นที่เหลือจะมีราคาแพงกว่าสำหรับผู้ซื้อที่ต้องการเป็นเจ้าของ
เกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้น?
ปัจจุบัน ตลาดหุ้นเคลื่อนตัวเป็นขาลง เหตุผลเบื้องหลังคืออัตราเงินเฟ้อที่สูง เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ได้ทำให้การกู้เงินมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น
ทำไมตลาดถึงตก?
ตลาดตกเมื่อความต้องการหลักทรัพย์ลดลง ตลาดหมีอันยืดเยื้อจะเกิดขึ้นเมื่อเศรษฐกิจประสบกับความยากลำบากซึ่งทำให้นักลงทุนสูญเสียความมั่นใจแล้วเทขายหุ้นที่ตนมีอยู่