ขึ้นราคาของ iPhone 14 series ในตลาดสำคัญๆ หลายแห่ง...
หุ้นกลุ่ม FAANG การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
อัปเดทแล้ว • 2023-04-21
ไตรมาสแรกของปี 2023 ได้สิ้นสุดลงแล้วสำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผลที่ออกมาค่อนข้างประสบความสำเร็จ ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นเพียง 0.4% ใน 3 เดือน NASDAQ100 ปรับตัวขึ้น 19.4% และ S&P 500 ปรับตัวขึ้น 6.6%
ดัชนีตลาดได้เกิดความผันผวนค่อนข้างมากในเดือนกุมภาพันธ์ และถ้าไม่ใช่เพราะปัญหาในภาคการธนาคารในเดือนมีนาคม ก็เป็นไปได้ว่าในช่วงปลายเดือนของไตรมาสนี้เราจะได้เห็นแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไป
สถานการณ์ปัจจุบันกับ SVB ได้มีอิทธิพลต่อวิถีการเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ยหลัก ซึ่งนำไปสู่การกลับตัวของตลาด แต่แล้วดัชนีหลักก็ได้ปรับตัวขึ้นอย่างมากในเดือนมีนาคม
รายงาน FAANG
จากหุ้นกลุ่ม FAANG ผู้นำในไตรมาสแรกคือหุ้นของ Meta (Facebook) มูลค่าตลาดได้เพิ่มขึ้น 72.5% การเติบโตที่ชัดเจนที่สุดหลังการร่วงลงของหลักทรัพย์ คือตั้งแต่ปี 2021 ถึง 2022 (ขาดทุนสะสมอยู่ที่ 75.5%)
อันดับที่สองได้ถูกครองร่วมกันระหว่าง Apple และ Amazon ซึ่งได้ปรับตัวขึ้นมากกว่า 20%
ส่วน Netflix และ Google ปรับตัวขึ้นเกือบ 16%
แพลตฟอร์ม Meta
รายงานของบริษัทในปี 2022 ได้ออกมาติดลบ ผลประกอบการของบริษัทลดลง 1.1% สู่ระดับ $116.6 พันล้าน
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ของบริษัทได้เพิ่มขึ้น 16.7% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการวิจัยและพัฒนา (R&D) แต่บริษัทก็ไม่ได้ปิดบัง โดยบอกว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ:
'การดำเนินธุรกิจของเรามีค่าใช้จ่ายสูง และเราคาดว่าค่าใช้จ่ายของเราจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคตเนื่องจากเราได้ขยายฐานผู้ใช้งานของเรา และเนื่องจากจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มสูงขึ้นจะปริมาณและประเภทของเนื้อหาที่พวกเขาเสพและข้อมูลต่าง ๆ ที่พวกเขาแบ่งปันกับเราเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น เนื้อหาประเภทวิดีโอ เนื่องจากเราพัฒนาและนำผลิตภัณฑ์ใหม่ไปใช้ ที่เราวางตลาดผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และที่มีอยู่ และโปรโมตแบรนด์ของเรา เนื่องจากเรายังคงขยายโครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิคของเรา เนื่องจากเรายังคงลงทุนในเทคโนโลยีใหม่และยังไม่ผ่านการพิสูจน์ รวมถึงปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง และเนื่องจากเรายังคงพยายามมุ่งเน้นไปที่ความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย การรักษาความปลอดภัย และการตรวจสอบเนื้อหา'
ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงเหลือ 28.7% จาก 39.6% และกำไรสุทธิลดลง 41% เป็น $23.2 พันล้าน
อัตราส่วนผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ของบริษัทได้ลดลงเกือบครึ่งหนึ่งเหลือเพียง 18.52%
และแล้วก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า ทำไมเราถึงกำลังเติบโตขึ้น?
คำตอบก็คือการเลิกจ้างพนักงาน บริษัทวางแผนที่จะเลิกจ้างพนักงานอีก 10,000 คน ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงาน
Apple
สำหรับปี 2022 รายงานของบริษัทได้ออกมาดีมาก ๆ ผลประกอบการเติบโตขึ้น 7.7% กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 5.4%
ตัวชี้วัดกำไรจริงจากการดำเนินกิจการ (EBITDA margin) ของบริษัทได้เพิ่มขึ้น 33.76%
ดังนั้น การดีดตัวขึ้นของหุ้น Apple จึงเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ เมื่อพิจารณาถึงตอนที่มูลค่าตลาดตกลงอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา
หุ้นของ Apple ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009 แต่ปี 2022 นั้นมีลักษณะเฉพาะ คือไม่ได้เปลี่ยนทิศทางของกระแสโลกไป แต่ได้ชะลอแนวโน้มนั้นลงอย่างมากจน "ไม่เหลือ" ความเร่งที่ทำมาตั้งแต่ปี 2020 ถึง 2021
Amazon
Amazon ได้รายงานการเติบโตอันแข็งแกร่งของผลประกอบการในปี 2022 (+9.3%) ในขณะเดียวกัน กำไรสุทธิของบริษัทก็ติดลบ ซึ่งคิดเป็นมูลค่ามากถึง $2.7 พันล้าน
เช่นเดียวกับกรณีของ Meta ผลลัพธ์ทางการเงินที่ติดลบคือต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของ R&D ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของบริษัทอย่างมาก (+12.76%)
ส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทลดลงไปสองเท่า
โดยบริษัทได้ตัดสินใจลดจำนวนพนักงานด้วยเช่นกัน ในเดือนมีนาคม เป็นที่ทราบกันดีว่า Amazon ได้เลิกจ้างพนักงานไปถึง 9,000 คน และระงับการก่อสร้างสำนักงานใหญ่แห่งที่สองในรัฐเวอร์จิเนีย
Netflix
อัตราการเติบโตของผลประกอบการของ Netflix ในปี 2021 - 2022 ได้ชะลอตัวลง โดยอยู่ที่ 6.5% ในปี 2022 เทียบกับ 18.8% ในปี 2021 และ 24% ในปี 2020
รายได้สุทธิของบริษัทลดลงเล็กน้อยในปี 2022 ที่ $4.5 พันล้าน เทียบกับ $5.1 พันล้าน ในปีก่อนหน้า
ในไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทได้ประกาศขยายธุรกิจไปยังเวียดนาม (บริษัทมีแผนจะสร้างสำนักงานใหญ่ที่นั่น) และลดค่าสมัครสมาชิกในหลายประเทศ
Alphabet (Google)
อัตราการเติบโตของรายได้สุทธิของ Google ในปี 2022 นั้นติดลบ กำไรสุทธิลดลงถึง 21.1%
ปีนี้เป็นจุดเริ่มต้นของ "สงคราม" ครั้งใหญ่ในการวิจัย AI จนถึงขณะนี้ Google ก็ยังพบว่าตัวเองนั้นมีบทบาทเป็นเพียงผู้ตาม
เรื่องที่น่าอับอายได้เกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ของปีนี้ก็คือ Bard ซึ่งเป็นแชตบอตที่บริษัทได้เปิดตัวขึ้นมานั้นได้ให้คำตอบที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับกล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เว็บบ์ ผลที่ตามมาคือมูลค่าตลาดได้ร่วงลงไป 8%
การวิเคราะห์เปรียบเทียบบริษัทต่าง ๆ (วิธีตัวคูณ)
มาทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบกลุ่มบริษัท FAANG กันสักเล็กน้อย
เริ่มจากอัตราส่วนหนี้สิน ซึ่งจะถูกคำนวณเป็นอัตราส่วนของหนี้สินทั้งหมดของบริษัทต่อขนาดของสินทรัพย์
อย่างที่คุณเห็น บริษัท Meta Incorporated และ Alphabet (Google) นั้นมีภาระหนี้ที่ต่ำที่สุด โดยมีหนี้สินรวมมากถึง 40% ของมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ของบริษัท
บริษัท Apple มีภาระหนี้สูงสุด 85.6% แต่ได้รับการชดเชยด้วยอัตราส่วนหนี้สินต่อกำไรจริงจากการดำเนินกิจการ (Debt/EBITDA) ที่ค่อนข้างต่ำ
ค่าทวีคูณของ ราคาตลาดต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E), ราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/B) และราคาต่อยอดขาย (P/S) ของบริษัททั้งหมดนั้นเกินค่ากลางในอุตสาหกรรม (ค่ามัธยฐานจะถูกระบุไว้ในวงเล็บ)
ในขณะเดียวกัน บริษัท Alphabet (Google) ก็ดูเหมือนจะเป็นบริษัทที่มีมูลค่าต่ำที่สุดในกลุ่ม FAANG ด้วยค่าเฉลี่ย P/E ที่ 20.38 บริษัทก็ไม่ได้ถูกประเมินมูลค่าสูงเกินไป
ทีนี้มาดูที่อัตรากำไรขั้นต้นและอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างมูลค่าของกิจการเทียบกับกำไรก่อนหักค่าใช้จ่าย (EV/EBITDA)
ที่นี่บริษัท Meta, Google และ Netflix แลดูมีความน่าสนใจ แม้ว่าอัตรากำไรขั้นต้นของ Google และ Netflix จะต่ำกว่าในอุตสาหกรรม แต่ก็ยังใกล้เคียงกับค่ากลาง ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัท Meta นั้นอยู่แนวหน้าของอุตสาหกรรม
เมื่อพิจารณา EV/EBITDA (ยิ่งต่ำยิ่งดี) บริษัท Netflix นั้นมีความน่าสนใจกว่า โดยทำผลงานได้ดีในอุตสาหกรรมนี้และทำได้ดีกว่าบริษัทในกลุ่ม FAANG
เมื่อพิจารณาเรื่องอัตราผลตอบแทน บริษัทในกลุ่ม FAANG เกือบทั้งหมดสูงกว่าค่ามัธยฐานในอุตสาหกรรม แต่ไม่นับรวมบริษัท Amazon เนื่องจากรายได้สุทธิของบริษัทติดลบ
บริษัท Apple มีอัตราผลตอบแทนสูงที่สุด แต่ ROE ของ Netflix และ Google ก็ทำลายสถิติและแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการจัดการบริษัท
ในบรรดาบริษัททั้งหมดในกลุ่มบริษัท FAANG มีเพียงบริษัท Apple เท่านั้นที่จ่ายเงินปันผล ซึ่งอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลนั้นต่ำกว่า 1%
ข้อสรุปจากการวิเคราะห์เปรียบเทียบ
- ในแง่ของภาระหนี้ บริษัท Google ดูมีความน่าสนใจมากที่สุด บริษัท Apple มีหนี้สินค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับสินทรัพย์
- การทวีคูณจะช่วยยืนยันว่าบริษัทเหล่านี้เป็นผู้กำหนดตลาด เรากำลังดูหุ้นที่เติบโต และก็เป็นอีกครั้งที่บริษัท Google ดูมีความน่าสนใจมากที่สุดที่นี่ (P/E ต่ำสุดในกลุ่ม FAANG) แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะประเมินบริษัท Amazon เนื่องจากรายได้สุทธิในปี 2022 นั้นติดลบ
- บริษัท Meta และ Google มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง แต่บริษัทเหล่านี้มีมูลค่าประมาณ x14 EBITDA บริษัท Netflix มีราคาถูกกว่าแต่ก็มีอัตรากำไรต่ำกว่า 50% เช่นกัน ส่วนบริษัท Amazon นั้นทั้งมีราคาแพงและมีอัตรากำไรต่ำ
- การจัดการของบริษัททั้งหมดสามารถได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพ (ยกเว้นเพียงบริษัท Amazon) บริษัท Apple มี ROE สูงสุด และบริษัท Netflix และบริษัท Google ก็มี ROE สูงเช่นกัน
แม้ว่าผลประกอบการและการเติบโตของรายได้สุทธิจะชะลอตัว แต่ Google และ Netflix ก็เป็นหุ้นที่น่าสนใจในแง่ของการลงทุน Meta ก็สมควรที่จะให้ความสนใจเช่นกัน มูลค่าตลาดของ Apple ดูเหมือนว่าจะสูงเกินไป ในขณะเดียวกัน Amazon ก็ยังดูอ่อนแอกว่าบริษัทอื่น ๆ ในกลุ่ม FAANG อย่างเห็นได้ชัด
แพลตฟอร์ม FBS และการซื้อขายหุ้น
แพลตฟอร์ม FBS มี CFD ของหุ้นทั้งหมดในกลุ่ม FAANG
เมื่อซื้อขายกับ FBS คุณจะไม่ได้รับสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของหุ้น แต่คุณสามารถสร้างรายได้จากการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นเหล่านี้ได้
ข้อดีประการหนึ่งของการซื้อขายประเภทนี้คือ คุณไม่จำเป็นต้องถือเอกสารไว้ในศูนย์รับฝากซึ่งมักจะเสียค่าธรรมเนียมแยกต่างหากสำหรับการบันทึกและการถือหุ้นของคุณ
ซื้อขายกับ FBS แล้วเป็นมืออาชีพ
คล้ายกัน
โหมดล็อคดาวน์จะปิดคุณสมบัติหลายอย่างบน iPhone เพื่อทำให้สปายแวร์มีความเสี่ยงน้อยลง
Apple กำลังเปลี่ยน iPhone ของคุณให้เป็นบริการ fintech โดยใช้ PayPal ยืนยันและอื่น ๆสิ่งที่จะเกิดขึ้น...
ข่าวล่าสุด
ก่อนหน้านี้ เรามีการประเมินว่าให้รอเข้าเทรด SELL XAUUSD ที่ระดับ 2,180 ดอลลาร์ โดยสามารถตั้งจุด TP ได้ที่บริเวณ 2,130 ดอลลาร์ และตั้งจุด SL
ก่อนหน้านี้ เรามีการประเมินว่า ให้รอเข้าเทรด BUY NASDAQ (US500) ที่ระดับ 17,200 จุด โดยสามารถตั้งจุด TP ได้ที่บริเวณ 19,300 จุด และตั้งจุด SL
ก่อนหน้านี้ เรามีการประเมินว่า ให้รอเข้าเทรด BUY S&P 500 (US500) ที่ระดับ 4,850 จุด โดยสามารถตั้งจุด TP ได้ที่บริเวณ 5,200 จุด