Coinbase (#COIN) มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 773 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ 1 ปี 2024 โดยเพิ่มขึ้น 23% จากไตรมาสก่อนและเกินความคาดหวังของนักวิเคราะห์
ปี 2022 จะมีอะไรไว้รอตลาดหุ้น?
อัปเดทแล้ว • 2023-02-07
ปี 2021 ได้เป็นปีแห่งความประหลาดใจของตลาดหุ้นต่างโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา มันวิ่งสวนทุกความคาดหวัง ทุกคนต่างรอให้ตลาดหุ้นร่วง เพียงเพื่อจะได้เห็นพวกเขาทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า และในทางกลับกัน
แต่ในปี 2022 มันก็จะไม่แตกต่างกันมากนัก ดังนั้นมาดูกันว่าอะไรที่จะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของหุ้นในปีหน้า
1. เงินเฟ้อและความคาดหวังที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ตลาดเข้าใจบทเรียนเรื่องราคาที่สูงขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นในช่วงปี 2021 ด้วยเหตุนี้ บริษัทต่างๆได้เลือกที่จะส่งต่อต้นทุนที่สูงขึ้น (การขนส่ง วัสดุ แรงงาน และค่าจ้าง) ให้กับผู้บริโภคที่มี ความต้องการที่จะใช้สิ่งที่พวกเขาได้เก็บไว้ในช่วงปี 2020 ที่มีการแพร่ระบาด เป็นผลให้บริษัทได้กำไรสูงมากในปี 2021 ต้องขอขอบคุณอัตราเงินเฟ้อสูงเลยนะเนี่ย
แต่ด้วยราคาสินค้าและบริการที่สูงขึ้นสำหรับผู้บริโภค และอุปสงค์ที่ลดลง จะส่งผลให้ผลกำไรของบริษัทอ่อนแอลง เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น ตลาดหุ้นจะไม่มีความสุข
หากแรงกดดันเงินเฟ้อยังคงมีอยู่หรือเพิ่มขึ้นในช่วง ครึ่งแรกของปี 2022 สิ่งต่างๆอาจกลายเป็นปัญหาได้ หุ้นเป็นตัวป้องกันความเสี่ยงที่ดีจากเงินเฟ้อได้ถึงระดับหนึ่ง ที่เพิ่มขึ้นระหว่าง 3% ถึง 5% อย่างไรก็ตาม หากการเติบโตของราคายังคงสูงกว่า 4% มันจะส่งผลเสียต่อผลกำไรและส่งผลกระทบต่อหุ้น
นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อที่ร้อนแรงมากขึ้นจะกดดัน ให้ธนาคารกลางต่างๆบังคับใช้นโยบายการเงินที่ เข้มงวดขึ้นและปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้เกิด การสูญเสียสภาพคล่องและต้องถอนตัวออกจากตลาด นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ ได้กล่าวไว้แล้วว่าพวกเขาอาจปรบขึ้นอัตราดอกเบี้ย สามครั้งในช่วงปี 2022
อย่างไรก็ตาม JPMorgan คาดว่า S&P 500 จะกระโดดขึ้นเหนือ 5,000 ในครึ่งแรกของปี 2022 ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 6% จากระดับปัจจุบัน
2. ประเทศจีนและกระบวนการกำกับดูแลที่เข้มงวด
กรุงปักกิ่งได้ใช้มาตรการที่รุนแรงในการควบคุมผลกำไรของ บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีและบริษัทด้านการศึกษาของจีนในปีนี้ และกำหนดข้อจำกัดในการให้กู้ยืมแก่นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อลดการพึ่งพาภาคส่วนนี้
หุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นอกประเทศจีน ที่อยู่ในฮ่องกงอยู่ในกลุ่มที่มีผลการดำเนินงานแย่ที่สุดในโลกในปี 2021 ดัชนี MSCI China อยู่ใกล้กับระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับหุ้นทั่วโลกนับตั้งแต่ปี 2006
หลายปัจจัยที่บดขยี้ตลาดการเงินจีนจะยังคงดำเนินต่อไปในปี 2022 นักลงทุนยังคงกลัวนโยบายที่ไม่คาดฝันของพรรคคอมมิวนิสต์ โดยคาดว่าจะมีการปราบปรามอย่างต่อเนื่องในภาคส่วนเทคโนโลยี หลังจากที่ปักกิ่งขอให้ Didi Global เพิกถอนรายชื่อออกจาก ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กในสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ สงครามการค้าที่กำลังดำเนินอยู่, ความแตกแยกที่เพิ่มขึ้นระหว่างปักกิ่งและวอชิงตัน, และการที่จีนและอเมริกาแบนบริษัทเทคโนโลยีของกันและกัน สุดท้ายนี้ อย่าลืมเรื่องวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัยของจีน
อุปสรรคเหล่านี้จะกระทบต่อผลกำไรของบริษัทและกระทบ หุ้นสหรัฐฯและจีนอย่างหนัก โดยเฉพาะในภาคส่วนเทคโนโลยี
3. พัฒนาการของโควิด-19
การพัฒนาของโรคระบาดเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของตลาด มาเกือบสองปีแล้ว มันทำให้ตลาดพังทลายในปี 2020 จากนั้นก็พุ่งแรงเป็นประวัติการณ์หลังการรณรงค์ฉีดวัคซีนที่ ทำให้เศรษฐกิจกลับมาเปิดได้อีกครั้งในปี 2021
ด้วยการค้นพบตัวแปรเดลต้าและโอไมครอน ตลาดต่างๆก็ได้เจอกับความผันผวนสุดบ้างคลั่งในดัชนีหุ้นทั่วโลก
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าไวรัสจะกลายเป็นผลข้างเคียงในปีหน้า เนื่องจากตลาดและผู้คนจะปรับตัวให้ใช้ชีวิตอยู่กับมันได้
4. เหตุการณ์ Black Swan
ปี 2022 เต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่เราอาจเรียกว่า "เหตุการณ์ Black Swan" ซึ่งเป็นเหตุการณ์กะทันหันที่ ส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างคาดไม่ถึง เนื่องมันคาดเดาได้ยาก
ท่ามกลางเหตุการณ์เหล่านี้: การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ, การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส, ความตึงเครียดในไต้หวัน, วิกฤตเศรษฐกิจพังทลายของตุรหลังการล่มสลายครั้งประวัติศาสตร์ ของสกุลเงินลีร่า, และภาวะคอขวดในซัพพลายเชนที่ยังคงอยู่
ภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดเป็นสิ่งอื่นที่เทรดเดอร์อาจต้องพิจารณา นอกจากนี้ ราคาคาร์บอนที่สูงและภาษีสิ่งแวดล้อม สำหรับบริษัทที่ผลิตมลพิษที่เป็นอันตรายจะเพิ่ม ต้นทุนการผลิตสำหรับอุตสาหกรรม ซึ่งอาจส่งผลเสีย ต่อผลกำไรของบางบริษัทและหุ้นบางตัว
สุดท้าย อย่าลืมว่ามูลค่าหุ้นที่สูงจะจะทำให้ตลาดเปราะบาง ซึ่งจะได้รับผลกระทบแม้จากเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆ นี่คือสิ่งที่เราจะได้เห็นในตลาดหุ้น มูลค่าหุ้นบางตัวก็เกินจริงและไม่สะท้อนมูลค่ายุติธรรม มันเหมือนจะสร้างฟองสบู่ใหม่ขึ้นมาซึ่งอาจระเบิดได้เนื่องจากเหตุที่กล่าวมาข้างต้น แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามันมีหลายสาเหตุมาพร้อมๆกัน? หุ้นจะยังคงสวนกระแสต่อไปมั้ย?
คล้ายกัน
หุ้นสหรัฐฯ ได้มีช่วงครึ่งปีแรกที่แย่ที่สุดในรอบกว่า 50 ปี เนื่องมาจากความพยายามของ Fed ในการควบคุมเงินเฟ้อและความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
Powell ต้องการชะลออัตราเงินเฟ้อเช่นเดียวกับที่ Greenspan ได้ทำในปี 1994 แต่ดูเหมือนว่าเขาจะทำอย่างนั้นไม่ได้
ข่าวล่าสุด
ก่อนหน้านี้ เรามีการประเมินว่าให้รอเข้าเทรด SELL XAUUSD ที่ระดับ 2,180 ดอลลาร์ โดยสามารถตั้งจุด TP ได้ที่บริเวณ 2,130 ดอลลาร์ และตั้งจุด SL
ก่อนหน้านี้ เรามีการประเมินว่า ให้รอเข้าเทรด BUY NASDAQ (US500) ที่ระดับ 17,200 จุด โดยสามารถตั้งจุด TP ได้ที่บริเวณ 19,300 จุด และตั้งจุด SL
ก่อนหน้านี้ เรามีการประเมินว่า ให้รอเข้าเทรด BUY S&P 500 (US500) ที่ระดับ 4,850 จุด โดยสามารถตั้งจุด TP ได้ที่บริเวณ 5,200 จุด