แนวโน้มของทองคำ: โลหะมีค่าจะฟื้นพลังได้หรือไม่?

อ่านบทความบนเว็บไซต์ของ FBS

ในวันที่ 8 มีนาคม 2022 ทองคำได้แตะราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ $2,070 ในตอนที่ราคาได้พุ่งสูงขึ้นท่ามกลางความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับความขัดแย้งทางทหารในยุโรปตะวันออก ตั้งแต่นั้นมา โลหะมีค่าก็ได้สูญเสียมูลค่าไป 15% ในเดือนตุลาคม ราคาได้ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบสองปีที่ประมาณ $1,615 อย่างไรก็ตาม ราคาได้ฟื้นตัวกลับขึ้นมาในภายหลัง ปัจจุบัน ทองคำกำลังถูกเทรดในช่วงระหว่างเส้นค่าเฉลี่ย 200 สัปดาห์ และ 100 สัปดาห์ เนื่องจากเหล่านักลงทุนต่างกำลังรอข่าวสำคัญ

ราคาโลหะสีเหลืองมีตัวขับเคลื่อนขนาดใหญ่สองสามตัวที่นักลงทุนต้องจับตามองในช่วงสิ้นปี 2022 - ต้นปี 2023 ซึ่งได้แก่:

  • ความกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์
  • ความแข็งแกร่งของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
  • อัตราเงินเฟ้อ
  • อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง
  • ความเป็นไปได้ของภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่กำลังจะเกิดขึ้นในหลายเขตเศรษฐกิจหลัก

ภูมิรัฐศาสตร์

ปี 2022 ได้เห็นหนึ่งในการสั่นสะเทือนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญที่สุดหลังจากที่รัสเซียได้รุกรานยูเครน การคว่ำบาตรรัสเซียได้สร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลกและผลักดันราคาก๊าซให้สูงขึ้น ส่วนยุโรปกำลังเผชิญกับความยากลำบากในฤดูหนาวหรือการแบ่งสันปันส่วนพลังงานที่อาจสร้างความเสียหายต่อผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของประเทศหลัก ๆ อย่างเยอรมนี

น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าความขัดแย้งนี้จะยังไม่มีจุดสิ้นสุด นักลงทุนต่างมีความกังวลว่าเหตุการณ์นี้จะบานปลาย ซึ่งอาจลุกลามไปไกลกว่ามาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจนเข้าสู่สงครามที่ร้ายแรงกว่าเดิม การบุกรุกเป็นตัวขับเคลื่อนราคาทองคำครั้งใหญ่ในช่วงต้นปี 2022 และมันจะเป็นผลกระทบหลักต่อราคาทองคำในปี 2023 อย่างไม่ต้องสงสัย

นอกเหนือจากรัสเซียแล้ว ความขัดแย้งทางการทหารที่อาจเกิดขึ้นระหว่างจีนและไต้หวันยังคงเป็นประเด็นสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ที่โลกกำลังจับตามอง หากจีนใช้ปฏิบัติการทางทหารบนเกาะ สหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ อาจตอบโต้ ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกตกต่ำอีกครั้ง ดังนั้น นักลงทุนจึงเฝ้าดูการลุกลามที่อาจเกิดขึ้นในยูเครนและไต้หวันที่อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อราคาทองคำ

สภาพเศรษฐกิจโลก

อัตราเงินเฟ้อยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของราคาทองคำตั้งแต่การร่วงลงเนื่องจาก Covid-19 ในเดือนมีนาคม 2020 ธนาคารกลางรายใหญ่ได้หันไปใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนปรนมากเป็นพิเศษเพื่อช่วยเศรษฐกิจโลกจากการล่มสลาย โดยทำการพิมพ์เงินและเข้าซื้อสินทรัพย์ต่าง ๆ (QE) ส่งผลให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่อัตราเงินเฟ้อจะเติบโตขึ้นอีก ทำให้ "นักลงทุนรายใหญ่" เลือกทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อให้สามารถผ่านพ้นการเติบโตของอัตราเงินเฟ้อที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ไปได้

ตั้งแต่ต้นปี 2022 ธนาคารกลางได้เปลี่ยนนโยบายการเงินของตนให้เป็นแบบเข้มงวดมากเป็นพิเศษ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่วัดมาด้วยดัชนีราคาผู้บริโภคนั้นในที่สุดก็ได้พุ่งสูงขึ้นเหนือเป้าหมายตามปกติ ในสหรัฐอเมริกา อัตราเงินเฟ้อได้ถึงจุดสูงสุดโดยเพิ่มขึ้น 9.1% ในเดือนกรกฎาคม จากนั้นก็ลดลงเหลือ 7.7% ในเดือนพฤศจิกายน ขณะเดียวกัน ในเยอรมนีและอังกฤษ อัตราเงินเฟ้อก็ยังคงอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี โดยในเดือนพฤศจิกายนได้มีการเปลี่ยนแปลง 10.4% และ 11.1% ตามลำดับ

ตัวเลขดังกล่าวทำให้ราคาทองคำอยู่เหนือ $1,600 แม้ว่าธนาคารกลางจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึงระดับสูงสุดของช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 4% ในการประชุมเดือนพฤศจิกายน โดยคาดว่าจะมีการเคลื่อนไหวอีก 50 จุดพื้นฐานในเดือนธันวาคม ขณะเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยหลักในอังกฤษและสหภาพยุโรปได้แตะถึง 3% และ 2% ตามลำดับ โดยคาดว่าจะมีการดำเนินการที่เข้มงวดมากขึ้นกว่านี้

โดยทั่วไปแล้วอัตราดอกเบี้ยที่สูงจะเป็นผลลบต่อทองคำเนื่องจากมันจะถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดผลตอบแทน อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อที่สูงมักจะถูกมองว่าเป็นปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อทองคำที่ทำหน้าที่เป็นตัวป้องกันอัตราเงินเฟ้อ

ด้วยเหตุนี้ จนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลง ทองคำจะยังคงอยู่ในกรอบกว้าง ซึ่งมันจะถูกกดลงโดยขั้นตอนที่เข้มงวดของธนาคารกลาง แต่จะได้รับแรงหนุนจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น

ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย

อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นความเสี่ยงที่รุนแรงต่อทุกเศรษฐกิจเนื่องจากมันสามารถตั้งหลักในระดับนี้ได้แล้ว ในกรณีนี้ ธนาคารกลางจะต้องดำเนินการให้เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะส่งให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย

ปัจจุบัน นักเศรษฐศาสตร์หลายคนต่างคาดการณ์ว่าในปี 2023 เขตเศรษฐกิจหลัก ๆ จะเข้าสู่ช่วงถดถอย เหล่านักเศรษฐศาสตร์กำลังเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปีและ 10 ปี ปกติแล้วอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปี จะต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อย่างไรก็ตาม ณ เดือนพฤศจิกายน 2022 อัตราผลตอบแทนได้กลับตัวลงมาแล้วแตะถึงระดับต่ำสุดของปี 1981 ซึ่งหมายความว่าตลาดมองว่าการลงทุนระยะสั้นมีความเสี่ยงมากกว่าระยะยาว

สถานการณ์เดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นก่อนวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 1984, ปี 2000 และ ปี 2008 ในอดีต ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงที่เส้นอัตราผลตอบแทนกลับตัวลงมาลึกๆ แต่เกิดขึ้นหลังจากที่มันเริ่มย้อนกลับไปหา 0

inversion.png

หากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย เงินทุนจะไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้นและคริปโต ไปยังสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำและ USD

ในอดีต ราคาทองคำและภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีความสัมพันธ์กันแบบผกผัน เมื่อเศรษฐกิจอ่อนแอ ราคาทองคำมักจะปรับตัวสูงขึ้น ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย 3 ครั้งล่าสุด ได้แก่ ปี 2020, ปี 2007 และ ปี 2001 ราคาทองคำได้ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่มูลค่าของ S&P 500 กลับลดลง

มันเกิดขึ้นเพราะในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย ธนาคารกลางได้ประคับประคองเศรษฐกิจด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลักและใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (การซื้อหนี้ต่างประเทศ) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเติบโตของอัตราเงินเฟ้อทั่วโลก

4.jpg

ในครั้งนี้ก็ไม่เว้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2024 ตลาดหุ้นมักจะเป็นไปตามตัวบ่งชี้ปริมาณเงินหมุนเวียนในมือประชาชน M2 กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะต้องพิมพ์เงินมากขึ้นเพื่อกระตุ้นตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ

money supply.png

ดังนั้นทองคำมักจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาว ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการซื้อทองคำคือช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยถึงขีดสุด เมื่อธนาคารกลางยกเลิกนโยบายต่าง ๆ แล้วเริ่มประคับประคองเศรษฐกิจด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำ ๆ และเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนในมือประชาชน ในช่วงเวลาดังกล่าว นักลงทุนรายใหญ่จะเข้าซื้อโลหะสีเหลืองและราคาของมันจะพุ่งสูงขึ้น

สรุป

ปัจจัยที่เป็นไปได้สองประการที่จะทำให้เกิดการระเบิดของราคาโลหะสีเหลืองคือภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการเงินของธนาคารรายใหญ่ หากความขัดแย้งทางการทหารทวีความรุนแรงขึ้น โลหะสีเหลืองอาจพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในระยะสั้นไปยังระดับแนวต้านที่ 2,050.00

อย่างไรก็ตาม เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ธนาคารกลางต้องเริ่มกระตุ้นเศรษฐกิจ ปัจจุบัน หน่วยงานกำกับดูแลมีเป้าหมายหลักเพียงเป้าหมายเดียวคือการเอาชนะอัตราเงินเฟ้อ ธนาคารจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยและลดงบดุล จนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลง ซึ่งมันสร้างแรงกดดันให้กับโลหะสีเหลือง อย่างไรก็ตาม ทันทีที่หน่วยงานกำกับดูแลเปลี่ยนคำพูดและกลับนโยบายการเงิน ทองคำก็จะมีโมเมนตัมที่เป็นขาขึ้น

ดังนั้น เราขอแนะนำให้ให้ความสนใจกับข่าวสารและคำแถลงการณ์ของผู้ว่าการธนาคารเพื่อหาช่วงเวลาที่ XAUUSD จะกลับตัวทั่วโลก

การวิเคราะห์ทางเทคนิค

XAUUSD กรอบเวลารายสัปดาห์

XAUUSDWeekly.png

ในกรอบเวลารายสัปดาห์ ราคาได้สร้างรูปแบบ bullish flag หากราคาทะลุระดับ 1,950.00 (ขอบบนของรูปแบบ) มันก็จะเคลื่อนต่อไปที่ระดับ 2,050.00 และ 2300.00,

อย่างไรก็ตาม หาก XAUUSD หลุดกรอบด้านล่างของรูปแบบ มันอาจร่วงลงไปที่ระดับ 1,540.00, 1,450.00 และ 1,370.00

FBS Analyst Team

แบ่งปันกับเพื่อน:

คล้ายกัน

ข่าวล่าสุด

เปิดทันที

FBS เก็บรักษาข้อมูลของคุณไว้เพื่อใช้งานเว็บไซต์นี้ เมื่อกดปุ่ม "ยอมรับ" ถือว่าคุณยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว ของเรา